ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในวันศุกร์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นจะต้องยกเลิกนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงอีกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ภาวะการเงินมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจน้อยลงก็ตาม
เฟดระบุว่า "ภาวะการเงินภายในประเทศสำหรับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน มีส่วนสนับสนุนน้อยลงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา" และเสริมว่า ความต้องการเสี่ยงของนักลงทุนในตลาดการเงินได้ลดลงอย่างมากด้วยเช่นกัน
แม้เฟดมองเห็นภาวะตึงตัวในตลาด แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่า เฟดมีความตั้งใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เฟดระบุในรายงานว่า "ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต จำเป็นจะต้องมีการยกเลิกนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงอีกอย่างค่อยเป็นค่อยไป"
เฟดระบุว่า "ในช่วงสิ้นปี 2562 ค่ากลางของตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 2.88% ซึ่งสอดคล้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สองครั้งในปีนี้" ขณะเดียวกัน เฟดเปิดเผยว่า ค่ากลางของตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.13% ในช่วงสิ้นปี 2563 และ 2564
แม้สถานะการเงินตึงตัวมากขึ้น แต่เฟดยืนยันว่า ระบบการเงินสหรัฐยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าก่อนเกิดวิกฤตการเงิน ขณะที่แรงกดดันเกี่ยวกับมูลค่าสินทรัพย์ได้ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
รายงานเฟดระบุด้วยว่า มีภาวะตึงตัวเกิดขึ้นในตลาดการเงินภายนอกสหรัฐด้วย โดยเปิดเผยว่า "ภาวะการเงินในต่างประเทศตึงตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปและละติน อเมริกา นโยบายการค้าของสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เฟดได้ตัดสินใจในการประชุมเดือนม.ค.ที่จะอดทนต่อการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมในอนาคต ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกอ่อนแอลง รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ลดน้อยลง
เฟดยืนยันด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2% และคาดการณ์ว่า ค่ากลางของอัตราการว่างงานที่ปกติในระยะยาวอยู่ที่ 4.4%