จับตาเฟด-ECB-BoE พร้อมใจขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งท้ายปี 65

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 13, 2022 18:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกลางชั้นนำของโลก 3 แห่งจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 13-14 ธ.ค. ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะจัดการประชุมตรงกันในวันที่ 15 ธ.ค.

นักวิเคราะห์และตลาดการเงินต่างคาดการณ์ว่า เฟด, ECB และ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมครั้งนี้

*เฟด*

นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงกว่าคาดในวันนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในวันพรุ่งนี้ โดยเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ตัวเลขดัชนี CPI ที่สูงกว่าคาดจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของเฟด

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% เป็นจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

ตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวลหลังการประชุมพรุ่งนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2566 รวมทั้งการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟดในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดจนถึงปี 2568

นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทะลุ 5.00% ในกลางปีหน้า หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้าเพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่กรอบ 5.00-5.25% ในเดือนพ.ค.2566 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ระดับ 4.75-5.00%

อย่างไรก็ดี ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2.00% ในปีหน้า หากสหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ นายเอริค โรเบิร์ตสัน หัวหน้านักวิจัยระดับโลกของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานชื่อ "เรื่องเซอร์ไพรส์ของตลาดการเงินในปี 2566" หรือ "The financial-market surprises of 2023" โดยได้ระบุถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งตลาดได้มองข้ามไป

หนึ่งในเหตุการณ์ในรายงานดังกล่าวคือ หากเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอยอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เฟดอาจจะต้อง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 2.00%

รายงานระบุว่า เฟดได้ประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อต่ำเกินไปในปี 2565 ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยอมรับว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวตามที่เฟดระบุก่อนหน้านี้ ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ทำให้เฟดมีความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจอาจเผชิญภาวะถดถอยในปี 2566 ขณะที่เฟดประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจต่ำเกินไปจากการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน

"แถลงการณ์ของ FOMC มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เน้นความจำเป็นในการขยายเวลาคุมเข้มนโยบายการเงิน ไปสู่ความจำเป็นในการจัดสรรสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการทรุดตัวลงอย่างรุนแรง" นายโรเบิร์ตสันระบุในรายงาน

ด้านนายคริส ซาร์คาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของบริษัท Independent Advisor Alliance กล่าวว่า ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ในปีนี้จะขึ้นอยู่กับตัวเลขดัชนี CPI ในวันนี้

"เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ แต่แนวโน้มการเกิด 'ซานต้า แรลลี่' จะขึ้นอยู่กับว่าตัวเลข CPI จะออกมาต่ำกว่าคาดหรือไม่" นายซาร์คาเรลลีกล่าว

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่

จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471

ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี

ข้อมูลระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว

กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนพ.ย.ในวันนี้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลข CPI ดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 7.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวจากระดับ 7.7% ในเดือนต.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. จากระดับ 0.4% ในเดือนต.ค.

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 6.1% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวจากระดับ 6.3% ในเดือนต.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนต.ค.

*ECB*

นักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 2.00% ในปีนี้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ ECB ต่างส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่า เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มใกล้แตะจุดสูงสุด

นายเอ็ดเวิร์ด ซิคลูนา ผู้ว่าการธนาคารกลางมอลตา และเป็นสมาชิกคณะกรรมการ ECB กล่าวว่า เงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดในไม่ช้า และ ECB ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% อีกครั้งเหมือนที่ได้ดำเนินการเมื่อวันที่ 27 ต.ค.

นายฟิลิป เลน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ ECB กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเงินเฟ้อใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว แม้ว่า ECB ยังมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมแรงกดดันจากราคา

ส่วนนายคอนสแตนตินอส เฮโรโดตู สมาชิกคณะกรรมการ ECB กล่าวว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่ก็ใกล้สู่ระดับเป็นกลางแล้ว

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนชะลอตัวสู่ระดับ 10.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 10.6% ในเดือนต.ค.

การปรับตัวของดัชนี CPI ในเดือนพ.ย.มีสาเหตุจากการชะลอตัวของราคาพลังงาน โดยดีดตัวขึ้น 34.9% ในเดือนพ.ย. แต่ต่ำกว่าระดับ 41.5% ในเดือนต.ค.

นอกจากนี้ ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นในอัตราที่ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2564 และในอัตราที่มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ก่อนหน้านี้ ดัชนี CPI พุ่งแตะ 10.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ยูโรสแตทเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ ECB กำหนดไว้ที่ระดับ 2%

*BoE*

ผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมรอบนี้

ก่อนหน้านี้ BoE ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.0% ในการประชุมวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2532 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 8 นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในไตรมาสแรกของปี 2566 และอีก 0.25% ในไตรมาส 2 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoE แตะเพดานสูงสุดที่ 4.25%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ