S&P Global เปิดเผยผลสำรวจในวันนี้ (24 ก.ค.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของญี่ปุ่นขั้นต้นในเดือนก.ค. ปรับตัวลงสู่ระดับ 48.8 โดยกลับเข้าสู่ภาวะหดตัวอีกครั้งหลังจากขยายตัวได้เพียงเดือนเดียวที่ระดับ 50.1 ในเดือนมิ.ย. โดยมีสาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
อย่างไรก็ดี ภาคบริการยังคงเติบโตแข็งแกร่งสวนทางกัน โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นขยายตัวสู่ระดับ 53.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ
การเติบโตของภาคบริการช่วยพยุงภาพรวมเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้น ทรงตัวอยู่ที่ 51.5 ในเดือนก.ค. เท่ากับเดือนก่อนหน้า
ผลสำรวจชี้ว่า ดัชนีย่อยภาคการผลิตด้านผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 4 และ 3 เดือนตามลำดับ สะท้อนความกังวลของภาคธุรกิจต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
แอนนาเบล ฟิดเดส ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ S&P Global Market Intelligence กล่าวว่า "ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าในอนาคตได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและแนวโน้มเศรษฐกิจในอีกหนึ่งปีข้างหน้า"
ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่น 15% และการที่ญี่ปุ่นจะเข้าลงทุนในสหรัฐฯ 5.5 แสนล้านดอลลาร์
สำหรับรายละเอียดในภาคบริการ แม้เติบโตได้ดี แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกกลับมาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ขณะที่การจ้างงานขยายตัวในอัตราชะลอตัวที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี