ผลสำรวจภาคเอกชนที่เผยแพร่ในวันนี้ (5 ส.ค.) ระบุว่า กิจกรรมภาคบริการของญี่ปุ่นในเดือนก.ค. ขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายจาก S&P Global ปรับขึ้นสู่ระดับ 53.6 จาก 51.7 ในเดือนมิ.ย. การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากอุปสงค์ในประเทศที่คึกคัก ซึ่งช่วยชดเชยยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ร่วงลงอย่างหนักและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลง
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
ผลสำรวจยังชี้ว่า ยอดสั่งซื้อธุรกิจบริการใหม่เติบโตในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยมีปัจจัยหนุนจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยอดสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศกลับหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. และเป็นการหดตัวในอัตรารุนแรงที่สุดในรอบกว่า 3 ปี โดยมีสาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจบางรายชี้ว่าเป็นผลมาจากความกังวลต่อกระแสคาดการณ์เรื่องการเกิดแผ่นดินไหว
ด้านการจ้างงานในภาคบริการทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการยุติสถิติการเติบโตต่อเนื่องที่ดำเนินมานาน 21 เดือน โดยผู้ตอบแบบสำรวจบางรายชี้ว่า ภาวะขาดแคลนแรงงานและข้อจำกัดด้านงบประมาณถือเป็นความท้าทายในการจ้างงาน
ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านราคายังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อด้านต้นทุนการผลิตขยายตัวช้าที่สุดในรอบ 17 เดือน ส่วนราคาผลผลิตปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 9 เดือน
ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 51.6 ในเดือนก.ค. จาก 51.5 ในเดือนมิ.ย. สะท้อนการเติบโตของกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
"อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้สะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของภาคบริการเป็นหลัก ในขณะที่ผลผลิตภาคโรงงานกลับมาหดตัวอีกครั้ง ส่วนดัชนีชี้วัดล่วงหน้าในเดือนก.ค. ก็ส่งสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก" แอนนาเบล ฟิดเดส ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ S&P Global Market Intelligence กล่าว
ฟิดเดสระบุเสริมว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นที่ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว อาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นและการบริโภคของบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็น "ปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ภาคการผลิตกำลังต้องการอย่างยิ่ง"