กระทรวงสถิติของอินเดียเปิดเผยวันนี้ (12 ส.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 1.55% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.76% จากระดับ 2.10% ในเดือนมิ.ย.
การชะลอตัวของดัชนี CPI มีสาเหตุหลักจากการปรับตัวลงของราคาอาหาร โดยเฉพาะผักและพืชตระกูลถั่ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรบางส่วน อย่างไรก็ดี คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อการตัดสินใจด้านนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยตัวเลขดังกล่าวนับเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2560 และยังคงอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 2-6% ของ RBI
ก่อนหน้านี้ RBI ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งล่าสุด โดยให้เหตุผลว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศยังคงสดใส และได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันลงสู่ระดับ 3.1% จากเดิมที่ 3.7%
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% ต่ออินเดีย ส่งผลให้อัตราภาษีสำหรับสินค้าอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่เรียกเก็บจากคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลอินเดียประเมินว่า การส่งออกสินค้าของประเทศไปยังสหรัฐฯ ราว 55% จะได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนจึงคาดว่า อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและผลกระทบต่อการเติบโตจากมาตรการภาษี อาจเปิดช่องให้ RBI ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกครั้ง
สำหรับปัจจัยด้านราคาอาหาร ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เงินเฟ้อลดลงอย่างมากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมานั้น พบว่าราคาหมวดอาหารในเดือนก.ค. ปรับตัวลง 1.76% หลังจากที่ลดลง 1.01% ในเดือนมิ.ย. โดยราคาผักลดลง 20.69% ขณะที่ราคาพืชตระกูลถั่วลดลง 13.76%