ข้อมูลจากรัฐบาลสิงคโปร์ที่เปิดเผยวันนี้ (18 ส.ค.) ระบุว่า ยอดการส่งออกสินค้าในประเทศที่ไม่รวมน้ำมัน (NODX) ในเดือนก.ค. ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนักกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวเพียง 1.8% และเป็นการพลิกกลับหลังจากที่ยอดส่งออกเดือนมิ.ย. เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 12.9%
ตัวเลขที่ลดลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ นำโดยกลุ่มยาและเวชภัณฑ์
เมื่อแยกตามปลายทาง การส่งออกสินค้าในประเทศที่ไม่รวมน้ำมัน ไปยังสหรัฐฯ จีน และอินโดนีเซียในเดือนก.ค. ปรับตัวลดลง แต่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) ไต้หวัน เกาหลีใต้ และฮ่องกง ยังคงเติบโต
แม้ตัวเลขส่งออกเดือนล่าสุดจะน่าผิดหวัง แต่ด้วยผลงานทางเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 รัฐบาลจึงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP ตลอดทั้งปีขึ้นเป็น 1.5% ถึง 2.5% จากเดิมที่ 0.0% ถึง 2.0%
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่หดตัวในเดือนก.ค. สอดคล้องกับคำเตือนของทางการที่ว่า การเติบโตมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากปรากฏการณ์ "รีบส่งออกสินค้าล่วงหน้า" (Front-loading) เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง
ทั้งนี้ แม้สิงคโปร์จะมีข้อตกลงการค้าเสรีและเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่สินค้าส่งออกของสิงคโปร์ยังคงอยู่ภายใต้ภาษีพื้นฐาน 10% ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หน่วยงานส่งเสริมวิสาหกิจสิงคโปร์ (Enterprise Singapore) ยังคงคาดการณ์การส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันตลอดทั้งปีไว้ที่การเติบโตระหว่าง 1% ถึง 3% โดยระบุว่าคาดว่าเศรษฐกิจจะอ่อนตัวลงบ้างในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่เริ่มต้นปี 2568 ได้แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้
ความไม่แน่นอนด้านการค้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 ส.ค.) นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง กล่าวในสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติว่า เขารู้สึกไม่สบายใจนักกับอัตราภาษีพื้นฐาน 10% ที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับสินค้าของสิงคโปร์
"เพราะไม่มีใครรู้ว่าสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราภาษีพื้นฐานนี้อีกหรือไม่ หรือจะปรับขึ้นเมื่อใด หรืออาจจะตั้งกำแพงภาษีที่สูงขึ้นกับอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม เช่น ยาและเวชภัณฑ์ และเซมิคอนดักเตอร์" นายกฯ หว่องกล่าว "สิ่งที่เรารู้แน่ ๆ ก็คือโลกนี้จะมีอุปสรรคทางการค้าเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิดกว้างอย่างเราจะได้รับแรงกดดันอย่างหนัก"