ผลสำรวจจาก S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) บ่งชี้ว่า ภาคบริการของญี่ปุ่นในเดือนส.ค. ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง แม้ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็เผชิญแรงฉุดจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังพบการลดระดับการจ้างงานเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นในเดือนส.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.1 จาก 53.6 ในเดือนก.ค. แม้ตัวเลขดังกล่าวจะสูงกว่าประมาณการเบื้องต้นที่ 52.7 แต่ยังคงเป็นการขยายตัวในอัตราที่ช้ากว่าเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
แอนนาเบล ฟิดเดส รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์แห่ง S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า โมเมนตัมการเติบโตของภาคบริการญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่งในเดือนส.ค. แต่ข้อมูลชี้ชัดว่าการเติบโตนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกปรับตัวลดลงอีกครั้ง
ทั้งนี้ การจ้างงานในภาคบริการปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2566 โดยบริษัทต่าง ๆ ให้เหตุผลเรื่องการลาออกของพนักงาน การลดลงของพนักงานสวนทางกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานค้างสะสมพุ่งขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี
ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน แต่แรงกดดันจากการแข่งขันทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถผลักภาระไปยังผู้บริโภคได้เต็มที่นัก ซึ่งบีบให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทในภาคบริการยังแสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มธุรกิจในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าอุปสงค์ของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศจะแข็งแกร่งขึ้น ประกอบกับมีแผนขยายกิจการ
ความแข็งแกร่งของภาคบริการยังช่วยพยุงภาพรวมเศรษฐกิจ โดยชดเชยความอ่อนแอของภาคการผลิต ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่น ขยับขึ้นสู่ระดับ 52.0 ในเดือนส.ค. จาก 51.6 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการขยายตัวของกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.