ภาคบริการของอินเดียในเดือนส.ค. ขยายตัวอย่างร้อนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ผลสำรวจทางธุรกิจของ S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ชี้ว่า ความต้องการที่พุ่งสูงนี้ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการถีบตัวสูงขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษเช่นกัน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดีย ซึ่งจัดทำโดย S&P Global ให้กับธนาคาร HSBC ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับ 62.9 ในเดือนส.ค. จากเดิม 60.5 ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าตัวเลขขั้นต้นที่ 65.6
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดีย ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 63.2 ในเดือนส.ค. จาก 61.1 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงส่งทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกภาคส่วนสำคัญของอินเดีย
นักเศรษฐศาสตร์ของ HSBC ให้ความเห็นว่า ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจภาคบริการของอินเดียทำสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะเดียวกัน อุปสงค์จากต่างประเทศก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 14 เดือน
อุปสงค์ที่แข็งแกร่งนี้เองที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้มากขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของราคาผลผลิตพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2555 สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบ 9 เดือน
สถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมของประเทศ ซึ่งเคยลดลงไปอยู่ที่ 1.55% ในเดือนก.ค. อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปีนั้น ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาในไม่ช้า
ภาพรวมเศรษฐกิจอินเดียก่อนหน้านี้ก็แสดงสัญญาณบวกเช่นกัน โดยข้อมูลทางการชี้ว่าเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชีย ขยายตัวถึง 7.8% ในไตรมาสล่าสุด สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายตั้งกำแพงภาษี 50% ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย ซึ่งอาจบั่นทอนการเติบโตในไตรมาสข้างหน้าได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับปีข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน แต่การเติบโตของการจ้างงานกลับยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก