กระทรวงการคลังอินโดนีเซียเปิดเผยในวันจันทร์ (22 ก.ย.) ว่า อินโดนีเซียมียอดขาดดุลงบประมาณ 321.6 ล้านล้านรูเปียห์ (1.938 หมื่นล้านดอลลาร์) ในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค. เทียบเท่ากับ 1.35% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
รายงานระบุว่า รายได้รวมในช่วงเวลาดังกล่าวแตะที่ 1,639 ล้านล้านรูเปียห์ ลดลง 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะที่รายจ่ายรวมอยู่ที่ 1,960 ล้านล้านรูเปียห์ เพิ่มขึ้น 1.5% จากปีก่อน
ปูร์บายา ยุธิ ซาเดวา รัฐมนตรีการเงินคนใหม่ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อสองสัปดาห์ก่อนกล่าวว่า "เราจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐขึ้น (จนถึงช่วงปลายปี) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการใช้จ่าย" โดยก่อนหน้านี้ปูร์บายาระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายจนถึงช่วงปลายปีเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมาย 5.2% ที่ตั้งไว้ในปีนี้ และได้ถ่ายโอนเงินของรัฐมากกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์จากธนาคารกลางไปยังธนาคารพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเติบโตของสินเชื่อ รวมถึงโครงการสหกรณ์ของรัฐบาล
อินโดนีเซียยังคงรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องที่ราว 5% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 2/2568 มีการปรับตัวขึ้น 5.12% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่า แนวโน้มการเติบโตในช่วงที่เหลือของปีและหลังจากนั้นจะถูกบดบังด้วยการค้าโลกที่ซบเซาลงและการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้เปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นการเติบโตในไตรมาส 4/2568 ซึ่งรวมถึงการแจกจ่ายข้าวสาร การลดหย่อนภาษี ตลอดจนการจ้างงานชั่วคราวในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพิจารณาเสนอสิ่งจูงใจตามกลไกตลาดเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนนำเงินดอลลาร์ที่ถืออยู่เข้าสู่ตลาดการเงินภายในประเทศแทนที่จะส่งไปต่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการจัดหาเงินทุนในสกุลดอลลาร์เพิ่มเติมให้กับโครงการต่าง ๆ