ผลสำรวจ "ทังกัน" (Tankan) ของสำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจในภาคยานยนต์ญี่ปุ่นดิ่งลงอย่างหนัก และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยบริษัทต่าง ๆ ต้องรับมือกับปัญหาภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ดีมานด์จากต่างประเทศก็ลดลงด้วย
ผลสำรวจทังกันรายเดือนฉบับนี้จัดทำควบคู่ไปกับการสำรวจธุรกิจรายไตรมาสของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่หลายฝ่ายจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยผลสำรวจทังกันชี้ว่า ดัชนีผู้ผลิตลดลงมาอยู่ที่ +8 ในเดือนต.ค. จาก +13 ในเดือนก.ย. นับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ค. ทั้งยังคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปอยู่ที่ +4 ภายในเดือนม.ค.
อุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรขนส่งเป็นกลุ่มที่ความเชื่อมั่นลดลงรุนแรงที่สุด โดยดัชนีของกลุ่มนี้ร่วงจาก +33 ลงมาอยู่ที่ +9
อุตสาหกรรมกลุ่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อปีที่แล้วมีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ราวหนึ่งในสามของทั้งหมด และมีการจ้างงานคิดเป็น 8% ของแรงงานทั้งประเทศ แต่ตอนนี้อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเผชิญกับภาษี 15% ของสหรัฐฯ จากข้อตกลงการค้ากับรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ตั้งแต่วัตถุดิบ ค่าแรง ไปจนถึงพลังงาน เป็นปัญหาที่พบได้ในหลายภาคส่วน รวมถึงภาคส่วนอุปกรณ์ขนส่ง เครื่องจักร และอุปกรณ์ความเที่ยงตรงสูง ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ชี้ไปที่ปัญหาเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าลดลงและยังต้องแข่งขันมากขึ้นกับสินค้านำเข้าราคาถูก
ในทางตรงกันข้าม ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจนอกภาคการผลิตยังทรงตัวอยู่ที่ +27 และบริษัทส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีจะลดลงเล็กน้อยเหลือ +26 ภายในเดือนม.ค.
ความเชื่อมั่นในภาคค้าปลีกกลับปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีพุ่งขึ้นเป็น +27 จากเดิม +20 ปัจจัยหนุนสำคัญคือยอดขายในเมืองที่ฟื้นตัวและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ (ทังกัน) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 14 ในไตรมาส 3/2568 จากระดับ 13 ในไตรมาส 2 โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซรามิกและการต่อเรือ
ดัชนีทังกันแสดงถึงเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่รายงานว่าภาวะทางธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี ลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่รายงานว่าภาวะทางธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ย่ำแย่
ข้อมูลทังกันที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้ เป็นหนึ่งในข้อมูลที่ BOJ จะใช้ประกอบการพิจารณาในการประชุมนโยบายการเงินครั้งต่อไปในช่วงปลายเดือนต.ค.