สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดวันนี้ (5 ธ.ค.) ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากหน่วยงานรัฐปิดทำการนานเป็นประวัติการณ์ถึง 43 วัน โดยระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนก.ย.ขยับขึ้น 0.3% ตรงตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ตัวเลขเดือนส.ค.ถูกปรับลดลงเหลือเติบโต 0.5%
ในส่วนของภาวะเงินเฟ้อ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และอยู่ที่ 2.8% เมื่อเทียบรายปี
หากไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใช้เป็นมาตรวัดหลัก เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน และทรงตัวที่ 2.8% เมื่อเทียบรายปี
ตัวเลขการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงในช่วงท้ายไตรมาส 3 หลังจากที่เคยเติบโตอย่างแข็งแกร่งติดต่อกัน 3 เดือน
นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีลักษณะเป็น "เศรษฐกิจรูปตัว K" (K-shaped economy) กล่าวคือ ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ได้กำไรจากตลาดหุ้นขาขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยกลับต้องแบกรับภาระหนักจากตลาดแรงงานที่ซบเซาและราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าราคาสินค้าจะขยับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะภาคธุรกิจบางส่วนยอมแบกรับต้นทุนภาษีไว้เองก็ตาม
บทวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ระบุเสริมว่า การจ้างงานที่ไม่คึกคักและการตัดลดงบสวัสดิการรัฐ เช่น โครงการเมดิเคด (Medicaid) และคูปองอาหาร (SNAP) จะเป็นปัจจัยลบกดดันกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569
แม้เดือนก.ย.จะดูซบเซา แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 3 ยังถือว่าแข็งแกร่ง เฟดสาขาแอตแลนตาประเมินว่า GDP Q3/2568 จะขยายตัวได้ถึง 3.8% ต่อปี เท่ากับไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับผลกระทบต่อนโยบายการเงิน ตลาดมองว่าข้อมูลชุดนี้ไม่น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมวันพุธหน้า (10 ธ.ค.) โดย FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนเกือบทั้งหมดเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25%