ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือนต.ค.ขยับขึ้นเล็กน้อย 0.1% จากเดือนก่อนหน้า สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวลง 0.5% โดยได้แรงหนุนสำคัญจากตลาดสหภาพยุโรป (EU) ที่เข้ามาช่วยพยุงสถานการณ์ ท่ามกลางยอดสั่งซื้อจากสหรัฐฯ และจีนที่ดิ่งลงอย่างหนัก
นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงที่สหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าจนยอดพุ่งผิดปกตินั้นผ่านพ้นไปแล้ว และการส่งออกของเยอรมนีได้กลับมาเติบโตอย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้สร้างความหวังว่าแรงต้านจากการค้าโลกในเดือนถัดไปอาจไม่รุนแรงอย่างที่กังวลกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เก็บภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากยุโรปตามข้อตกลงเมื่อเดือนก.ค. โดยสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของเยอรมนีในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวมถึง 2.53 แสนล้านยูโร (2.97 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เมื่อเจาะดูรายภูมิภาคพบว่า ตลาดยุโรปกลายเป็นเกราะป้องกันสำคัญ โดยเยอรมนีส่งสินค้าไปประเทศสมาชิก EU เพิ่มขึ้น 2.7% ตรงข้ามกับการส่งไปประเทศนอกกลุ่ม EU ที่หดตัว 3.3%
ไซรัส เดอ ลา รูเบีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ชี้ว่า "EU ช่วยพยุงภาคการส่งออกของบริษัทเยอรมันไว้" ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ และจีนกำลังหายไป
ในทางกลับกัน การส่งออกไปสหรัฐฯ กลับร่วงลงถึง 7.8% จากเดือนก.ย. และเมื่อเทียบรายปีแล้วลดลงถึง 8.3% ซึ่งเป็นผลกระทบจากกำแพงภาษี ทำให้ยอดส่งสินค้าไปสหรัฐฯ กลับมาดิ่งลงอีกครั้งหลังฟื้นตัวได้เพียงสั้น ๆ
ด้านตลาดจีน ตัวเลขการค้าลดลงทั้งสองทาง โดยยอดส่งออกไปจีนลดลง 5.8% และยอดนำเข้าจากจีนลดลง 5.2% ในเดือนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เบรซสกีระบุว่าหากดูภาพรวมตลอดทั้งปี ยอดนำเข้าจากจีนยังพุ่งสูงกว่า 10% สะท้อนถึง "ความสัมพันธ์ที่เหลื่อมล้ำยิ่งขึ้น"
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจอื่น ๆ ยอดนำเข้าสินค้าของเยอรมนีในเดือนต.ค.ลดลง 1.2% (ปรับตามปฏิทินและฤดูกาล) ส่งผลให้ดุลการค้าต่างประเทศเดือนต.ค.เกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1.69 หมื่นล้านยูโร สูงขึ้นจากเดือนก.ย.ซึ่งอยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านยูโร และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.46 หมื่นล้านยูโร