กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเผยผลสำรวจล่าสุดในวันนี้ (11 ธ.ค.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นในทุกอุตสาหกรรมในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. อยู่ที่ 4.9 โดยยังคงอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2
ความเป็นไปดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่อุตสาหกรรมเคมีมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในรถยนต์มากขึ้น ขณะที่บริษัทต่าง ๆ ในภาคการผลิตอาหารสามารถส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ผ่านการขึ้นราคา
ข้อมูลล่าสุดชี้ชัดว่า ภาคธุรกิจเริ่มคลายความกังวลต่อเศรษฐกิจลง หลังจากที่เคยตื่นตระหนกกับมาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของญี่ปุ่น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ภาคยานยนต์ถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ตลาดการเงินจึงคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเดินหน้าแผนขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มมีความแน่นอนมากขึ้น
สำหรับการคำนวณดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจนั้น ใช้วิธีนำสัดส่วนบริษัทที่มองว่าสภาพธุรกิจดีขึ้น ลบด้วยสัดส่วนบริษัทที่มองว่าแย่ลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ที่ 4.7 ขณะที่ความเชื่อมั่นในกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของญี่ปุ่น ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ อยู่ที่ 6.5 และอยู่ในแดนบวกเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน
ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กกล้า ซึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ลดภาษีตามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อต้นปี ยังคงมีรายงานการปรับตัวดีขึ้นจาก -21.8 ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. เป็น -14.5 ในการสำรวจครั้งล่าสุด
ส่วนความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่ภาคการผลิตอยู่ที่ 5.1 โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในภาคการเงินและการประกันภัย ขณะที่อุตสาหกรรมบริการก็ได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าในโรงแรมและร้านอาหาร
อนึ่ง การสำรวจซึ่งจัดทำขึ้น ณ วันที่ 15 พ.ย. ได้รับการตอบกลับจากบริษัทประมาณ 11,000 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 1 พันล้านเยน (6.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และบริษัทขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนระหว่าง 10-100 ล้านเยน