สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียรายงานในวันนี้ (15 มี.ค.) ว่า ยอดเกินดุลการค้าของอินโดนีเซียในเดือนก.พ.หดตัวเหลือเพียง 870 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ 2.32 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการนำเข้าพุ่งสูงกว่าคาด ขณะที่การส่งออกหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ดุลภายนอกของอินโดนีเซียได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกใบอนุญาตเหมืองแร่ล่าช้า ทำให้กิจกรรมในเหมืองถ่านหิน นิกเกิล และดีบุก ฯลฯ หยุดชะงัก ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดส่งออกในปีนี้
ยอดส่งออกของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วงลง 9.45% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 1.931 หมื่นล้านดอลลาร์ และร่วงมากกว่าที่โพลคาดว่าจะลดลงเพียง 6.5%
ถ่านหินและน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซีย มียอดส่งออกลดลง 18.7% และเกือบ 40% ตามลำดับ เมื่อเทียบรายปี
นางอมาเลีย อดินิงการ์ วิดยาซานตี รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียระบุว่า "เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบลดลงคือความต้องการที่ลดลงในประเทศผู้ซื้อ เนื่องจากประเทศยุโรปจำนวนหนึ่งสามารถเข้าถึงน้ำมันทานตะวันและน้ำมันเมล็ดพืชอื่น ๆ ที่มีราคาถูกกว่าได้"
นอกจากนี้ นางอมาเลียกล่าวเสริมว่า จีนและอินเดียยังมีสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ยอดนำเข้าเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 15.84% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.844 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 9.3% โดยยอดนำเข้าเครื่องจักร พลาสติก และอุปกรณ์ไฟฟ้า มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ทั้งนี้ การนำเข้าข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในประเทศ อันเนื่องมาจากผลผลิตช่วงต้นปีที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแห้งแล้วนั้น ก็มีส่วนทำให้ยอดนำเข้าโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย