คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า BOJ จะจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นระยะยาวพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์นี้
อุเอดะกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่ม G7 ที่ประเทศแคนาดาในวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) ว่า เขาจะไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มในระยะสั้นของอัตราดอกเบี้ย แต่เขาจะติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างระมัดระวัง โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 20 ปี, 30 ปี และ 40 ปี พุ่งขึ้น เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังที่ย่ำแย่ลงของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ผลการประมูลพันธบัตรที่อ่อนแอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (20 ม.ค.) ยังเป็นการตอกย้ำว่าตลาดมีความสามารถลดลงในการดูดซับหนี้ใหม่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นจะต้องระดมเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการคลัง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อุเอดะกล่าวว่าเขาและผู้ว่าการธนาคารกลางหลายคนในกลุ่ม G7 มองว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าสหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงการค้าชั่วคราวกับจีนและข้อตกลงเบื้องต้นกับอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ก็ตาม
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ ได้ส่งผลให้ BOJ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เม.ย. - 1 พ.ค. โดยคาดว่าเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเริ่มต้นในเดือนเม.ย. จะขยายตัวเพียง 0.5% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 1.1%
ในการประชุมวันดังกล่าว คณะกรรมการ BOJ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% โดยระบุว่าเศรษฐกิจทั่วโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงขึ้น พร้อมกับเตือนว่าข้อพิพาททางการค้าอาจทำให้กำไรของบริษัทญี่ปุ่นชะลอตัวลง และจะส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอ่อนแอลงด้วย