ในโลกธุรกิจวันนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า ESG ซึ่งย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ประเมินว่าบริษัทดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพียงใด ในอดีต การลงทุนด้าน ESG อาจถูกมองว่าเป็นเพียงกลยุทธ์เฉพาะกลุ่ม (niche strategy) หรือการทำตามกฎระเบียบ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
รายงานล่าสุดจากบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (CGSI) เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนด้าน ESG ในตลาดอาเซียน โดยพบว่าการลงทุนในบริษัทที่มีคะแนน ESG ดีให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วไปอย่างชัดเจน โดยในระหว่างปี 2563-2567 พอร์ตการลงทุนที่เลือกบริษัท ESG ดี ให้ผลตอบแทนสูงถึง 232% ขณะที่ดัชนีทั่วไปอย่าง MSCI All-Caps ASEAN ให้ผลตอบแทนไม่ถึง 100%
จากความสมัครใจสู่การบังคับตามกฎหมาย
ตั้งแต่ปี 2565-2568 ประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ออกกฎระเบียบให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐานสากล เช่น ISSB และ TCFD การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ ESG หลุดจากกรอบ "การทำดีเพื่อภาพลักษณ์" กลายเป็น "ความจำเป็นตามกฎหมาย"
ขณะที่นักลงทุนสถาบันก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยกองทุนขนาดใหญ่ในภูมิภาคอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมาเลเซีย (EPF) เทมาเส็กของสิงคโปร์ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไทย (กบข.) ล้วนผนวก ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการลงทุน โดยคำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงและรับประโยชน์จากกฎระเบียบและแนวโน้มโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไป
รายงานผลการศึกษาพบว่า หุ้นในอาเซียนที่มีความเสี่ยง ESG ต่ำให้ผลตอบแทนเป็นบวกในหลายตลาดตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในมาเลเซียและไทย บริษัทที่มีแนวทางเปลี่ยนผ่าน ESG ที่ชัดเจนและเปิดเผยข้อมูลสม่ำเสมอ มีผลงานดีกว่าดัชนีประเทศของตนเอง
ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่มีผลงาน ESG ไม่ดีต้องเผชิญกับผลกระทบทั้งในเชิงธุรกิจและการเงิน รายงานระบุว่าบริษัทในมาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซียถูกห้ามนำเข้าและตัดออกจากห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก เนื่องจากการละเมิดแรงงานหรือสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทที่มีข้อพิพาทด้าน ESG ยังเผชิญกับเบี้ยประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้น ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น โดยหน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่นเริ่มบังคับใช้จริง เช่น อินโดนีเซียที่รวม ESG เข้ากับการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิต และธนาคารในฟิลิปปินส์ที่ต้องรายงานการจัดสรรเงินทุนที่เชื่อมโยงกับ ESG ตั้งแต่ปีนี้
จากหลักปฏิบัติทางธุรกิจสู่โอกาสทำกำไร
ปัจจุบัน บริษัทในอาเซียนไม่ได้ดำเนินการด้าน ESG เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น แต่กำลังใช้ ESG เป็นกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มการมีส่วนร่วมกับนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Bank Central Asia ของอินโดนีเซีย ได้ปรับการจัดสรรสินเชื่อให้สอดคล้องกับหลักการ ESG โดยหลีกเลี่ยงการให้เงินกู้แก่ธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน และเพิ่มสินเชื่อสีเขียวเป็น 23% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดในกลางปี 2567
การลงทุนด้าน ESG ในอาเซียนจึงไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งผลตอบแทนและการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
อย่างไรก็ดี แม้ ESG จะมีแนวโน้มดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากแต่ละประเทศมีมาตรฐานต่างกัน การทำตามกฎเพียงผิวเผินโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจริง เนื่องจากบางบริษัททำเพื่อให้ผ่านเกณฑ์เท่านั้น ช่องว่างระหว่างกลยุทธ์และการปฏิบัติจริง กล่าวคือบางบริษัทอาจวางแผน ESG ดีแต่ทำจริงไม่ได้ อีกทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวกับความไม่เสถียรของคะแนน ESG เนื่องจากการเปลี่ยนวิธีการคำนวณ เป็นต้น