ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 17-18 มิ.ย. โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากคาดว่าผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่มีต่อเงินเฟ้อนั้นจะไม่มากนักและเป็นผลกระทบชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม มีกรรมการเฟดเพียงไม่กี่คนที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ค. ขณะเดียวกันรายงานการประชุมซึ่งมีการเผยแพร่ในวันพุธ (9 ก.ค.) ยังบ่งชี้ว่า ไม่มีกรรมการเฟดคนใดที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมาก แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันให้เฟดดำเนินการเช่นนั้น โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50%
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประชุมในวันที่ 17-18 มิ.ย.ต่างก็คาดการณ์ว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่มีต่อเงินเฟ้อนั้นจะไม่มากนักและเป็นผลกระทบชั่วคราว ขณะเดียวกันกรรมการเฟดหลายคนมองว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน 'อาจอยู่ไม่ไกลจากระดับที่เป็นกลาง' ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกกระตุ้นมากเกินหรือถูกจำกัดมากเกินไป""โดยทั่วไปแล้ว กรรมการเฟดมีความเห็นตรงกันว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ตลอดจนนโยบายการเงินในปัจจุบันที่ค่อนข้างอยู่ในระดับคุมเข้ม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จึงเห็นสมควรที่จะรอดูความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการจะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายเงินเฟ้อ" เฟดระบุในรายงานการประชุม
ทั้งนี้ ในการประชุมวันดังกล่าว คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้
สำหรับการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้สู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8%