ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันว่ารัฐบาลจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าที่เรียกว่าภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ในอัตราระหว่าง 15%-50% หลังพ้นเส้นตายเจรจาการค้าในวันที่ 1 ส.ค.นี้ โดยกำหนดให้ 15% เป็นอัตราขั้นต่ำ ขณะที่ประเทศที่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นกับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บในอัตราสูงสุด 50% โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Summit) ที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันพุธ (23 ก.ค.)
คำกล่าวของทรัมป์สะท้อนถึงท่าทีที่เข้มงวดขึ้นต่อคู่ค้าที่ยังไม่สามารถตกลงด้านกรอบการค้ากับสหรัฐฯ ได้ โดยถือเป็นการปรับจุดยืนจากเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเขาเคยระบุว่าจะส่งจดหมายแจ้งเก็บภาษีเพียง 10% หรือ 15% ให้กับกว่า 150 ประเทศ และย้อนกลับไปในเดือนเม.ย.ที่ทรัมป์เคยประกาศเก็บภาษี 10% แบบครอบคลุมเกือบทุกประเทศ
ด้านโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยกับ CBS News เมื่อวันอาทิตย์ (20 ก.ค.) ว่า ประเทศขนาดเล็กในลาตินอเมริกา แคริบเบียน และหลายประเทศในแอฟริกา จะถูกเก็บภาษีในอัตราเริ่มต้นเพียง 10%
แม้ทรัมป์และที่ปรึกษาจะเคยคาดหวังทำข้อตกลงทวิภาคีกับหลายประเทศ แต่ปัจจุบันเขากล่าวว่าการส่งจดหมายแจ้งภาษีถือเป็นข้อตกลงในตัวแล้ว และไม่ต้องการเจรจาต่อรองกันไปมา อย่างไรก็ตาม เขายังคงเปิดโอกาสให้บางประเทศทำข้อตกลงเพื่อลดอัตราภาษีลงได้
เมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ทรัมป์ประกาศปรับลดภาษีที่ขู่จะเรียกเก็บจากญี่ปุ่นจาก 25% ลงเหลือ 15% เพื่อแลกกับการที่ญี่ปุ่นยกเลิกข้อจำกัดต่อสินค้าของสหรัฐฯ บางรายการและสนับสนุนการลงทุนมูลค่า 5.50 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่เกาหลีใต้ อินเดีย และสหภาพยุโรป (EU) ยังอยู่ระหว่างเร่งหาข้อตกลงก่อนมาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้
ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าแบบง่ายมาก ๆ กับบางประเทศ เนื่องจากมีจำนวนมากเกินกว่าจะเจรจากับทุกประเทศได้ พร้อมย้ำว่า การเจรจากับ EU มีความคืบหน้าอย่างจริงจัง และหาก EU ยอมเปิดตลาดให้ธุรกิจสหรัฐฯ เข้าถึงได้มากขึ้น สหรัฐฯ ก็จะยอมลดอัตราภาษีให้