โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ปรับลดเป้าหมายผลประกอบการทั้งปี พร้อมเผยว่ากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 ร่วงลงถึง 29% จากแรงกดดันของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
โฟล์คสวาเกนมีกำไรจากการดำเนินงานช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. อยู่ที่ 3.83 พันล้านยูโร ลดลงจากระดับ 5.4 พันล้านยูโรเมื่อเทียบรายปี ส่วนรายได้จากยอดขายในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 8.08 หมื่นล้านยูโร
ผลประกอบการล่าสุดสะท้อนถึงแรงกดดันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปกำลังเผชิญ ทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของแบรนด์จีน และภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ ที่สูงถึง 25%
อาร์โน อันต์ลิตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของโฟล์คสวาเกนระบุในแถลงการณ์ว่า "ตัวเลขครึ่งปีแรกสะท้อนภาพที่ต่างกันสองด้าน ด้านหนึ่งเราประสบความสำเร็จในเชิงผลิตภัณฑ์และการปรับโครงสร้างองค์กร แต่อีกด้านหนึ่ง กำไรจากการดำเนินงานลดลงเกือบ 1 ใน 3 เมื่อเทียบรายปี โดยมีสาเหตุจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เต็มรูปแบบที่มีมาร์จินต่ำลง รวมถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และมาตรการปรับโครงสร้างภายในบริษัท"
สำหรับแนวโน้มทั้งปี โฟล์คสวาเกนระบุว่า บริษัทคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงาน (Operating Return on Sales) จะอยู่ในช่วง 4%-5% ลดลงจากกรอบเดิมที่ 5.5%-6.5%
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เปราะบางอย่างยิ่งต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกและฐานการผลิตในอเมริกาเหนืออย่างมาก
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งขู่ว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหภาพยุโรป (EU) เป็น 30% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นี้ ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ และทำให้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) อยู่ระหว่างการพิจารณาท่าทีตอบโต้ต่อไป