กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในวันนี้ โดยได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกประจำปีนี้และปีหน้า
ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.0% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.8% หลังจากที่มีการขยายตัว 3.3% ในปี 2567
นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.1% ในปี 2569 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 3.0%
ขณะเดียวกัน IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัว 2.0% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8% และ 1.6% ตามลำดับ หลังจากมีการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 และ 2.0% ในปี 2566
IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8% และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัว 4.8% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.0% ขณะที่คาดว่ายูโรโซนจะขยายตัว 1.0% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 0.8%
IMF เปิดเผยว่า การประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 และ 2569 เกิดจากการที่ประเทศต่าง ๆ เร่งซื้อสินค้ามากกว่าที่คาดไว้ ก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งสหรัฐจะบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรในระดับสูง และการที่อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐ (effective U.S. tariff rate) ลดลงจากระดับ 24.4% สู่ระดับ 17.3%
ทั้งนี้ IMF ระบุว่า อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐ ซึ่งคำนวณจากรายได้ภาษีศุลกากรต่อมูลค่าสินค้านำเข้า ได้ลดลงตั้งแต่เดือนเม.ย. แต่ยังคงสูงกว่าอัตราที่ประเมินไว้ที่ 2.5% เมื่อต้นเดือนม.ค. ส่วนอัตราภาษีของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอยู่ที่ 3.5% ลดลงจาก 4.1% ในเดือนเม.ย.
อย่างไรก็ตาม IMF เตือนว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การที่อัตราภาษีอาจกลับมาสูงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นทั่วโลก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศใช้ภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% ต่อเกือบทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่เดือนเม.ย. และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นในวันที่ 1 ส.ค.
นอกจากนี้ สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษี 25%-50% สำหรับสินค้าประเภทรถยนต์ เหล็ก และโลหะอื่น ๆ ขณะที่ยังมีแผนปรับขึ้นภาษีเพิ่มเติมอีกสำหรับยา ไม้แปรรูป และชิปเซมิคอนดักเตอร์
IMF ระบุว่า การปรับขึ้นภาษีในอนาคตดังกล่าวยังไม่ได้ถูกรวมอยู่ในตัวเลขคาดการณ์ปัจจุบัน และอาจทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งจะสร้างปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน และทำให้ผลกระทบจากภาษีมีความรุนแรงมากขึ้น