เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ผู้ผลิตรถยนต์หรูจากเยอรมนี ประกาศปรับลดแนวโน้มรายได้ตลอดทั้งปี หลังจากรายงานว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2 ร่วงลงเกือบ 70% จากผลกระทบของภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และยอดขายที่ชะลอตัวในตลาดจีน
ในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ถอนคำแนะนำแนวโน้มรายได้ออกไปเพื่อประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้น 25% โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ระบุว่า ธุรกิจรถยนต์ของบริษัทในไตรมาสนี้มีรายได้รวม 2.42 หมื่นล้านยูโร โดยหากไม่มีภาษีนำเข้า ธุรกิจจะสามารถทำอัตรากำไรได้ที่ระดับ 6.6% แต่ผลกระทบจากภาษีทำให้อัตรากำไรเหลือเพียง 5.1% คิดเป็นต้นทุนหลายร้อยล้านยูโร
ยอดขายของบริษัทในสหรัฐฯ ลดลง 12% ขณะที่ในจีนลดลงถึง 19% ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตท้องถิ่น โดยเฉพาะแบรนด์อย่าง BYD ส่วนบริษัทรถยนต์ยุโรปรายอื่น ๆ เช่น Stellantis เจ้าของแบรนด์ Jeep และ Citroen รวมถึง Volkswagen ต่างได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าวเช่นกัน โดยรายงานว่ายอดขายในอเมริกาเหนือลดลงในการประกาศผลประกอบการล่าสุด
กำไรสุทธิของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 957 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จากบริษัทข้อมูลการเงิน FactSet คาดการณ์ไว้ที่ 1.5 พันล้านยูโร
บริษัทได้ออกแนวโน้มรายได้ใหม่โดยคาดว่ารายได้รวมทั้งกลุ่มในปี 2568 จะต่ำกว่าระดับ 1.46 แสนล้านยูโรในปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนก.พ. บริษัทเคยคาดว่ารายได้ปีนี้จะลดลงจากปี 2567 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในส่วนของธุรกิจรถยนต์ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์คาดว่าอัตรากำไรจะอยู่ในช่วง 46% เมื่อรวมผลกระทบจากภาษี แต่หากไม่รวมภาษี บริษัทคาดว่าจะสามารถทำอัตรากำไรได้ในช่วง 68%
โอลา เคลเลเนียส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กล่าวว่า แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความผันผวน แต่ผลประกอบการของบริษัทยังถือว่าแข็งแกร่ง พร้อมระบุว่าบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ