
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศภาษีศุลกากรครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต่างพึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกกระบวนท่าเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากการเจรจาที่เข้มข้นและยืดเยื้อมานานหลายเดือน ในที่สุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าส่งออกของหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568
โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ก.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปรับรื้ออัตราภาษีตอบโต้ หรือภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariff) ที่จะใช้กับหลายประเทศ ก่อนถึงเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค. ส่วนประเทศที่ไม่มีชื่อในคำสั่งฉบับล่าสุดจะถูกเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ซึ่งคำสั่งฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากคำสั่งฝ่ายบริหารที่เคยประกาศใช้เมื่อเดือนเม.ย.
ก่อนหน้านี้หลายประเทศในอาเซียนถูกกำหนดอัตราภาษีในช่วง 25% ถึง 40% ภาษีที่ทำเนียบขาวเปิดเผยล่าสุดจึงกลับกลายเป็น "ข่าวดี" สำหรับหลายชาติ เพราะอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือเพียง 19% สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง
อย่างไรก็ตาม การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเงื่อนไข หลายประเทศต้องทำข้อตกลงทางการค้าและลงทุนที่สำคัญเพื่อแลกกับภาษีที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก
แล้วอาเซียนแต่ละประเทศถูกเก็บภาษีกันไปคนละเท่าไหร่ มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ใครได้ส่วนลด ใครถูกเก็บเพิ่ม รวมทั้งมีปฏิกิริยากันอย่างไรบ้าง
* ไทย 19% ลดลงจาก 36%
ไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงจากเดิมที่เคยถูกกำหนดไว้สูงถึง 36% เหลือ 19% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของ "ทีมไทยแลนด์" ตามที่โฆษกรัฐบาลไทยกล่าว ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือ โดยได้ยื่นข้อเสนอสำคัญเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า เช่น การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ให้กว้างขึ้น และการให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาการส่งออกสินค้าของไทยที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การบรรลุข้อตกลงยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่ไทยได้ลดภาษีเป็นผลมาจากการเจรจาทางการค้าโดยตรงมากกว่าการที่ไทยทำข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา
นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า อัตราภาษีใหม่ที่ไทยได้รับนั้น "สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยสหรัฐฯ" พร้อมเสริมว่า อัตราภาษีใหม่นี้จะช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี นายพิชัยกล่าวด้วยว่า รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกร จึงได้เตรียม "มาตรการรองรับอย่างรอบด้าน" ไว้แล้ว ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน และมาตรการทางภาษี เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวได้
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อัตราภาษีใหม่ที่ไทยได้รับนั้นเกาะกลุ่มในระดับใกล้เคียงกับภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ทำให้ไทยสามารถรักษาการแข่งขันได้
"การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทยในระดับภาษีนำเข้า 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ในแนวทาง win-win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวความ ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ " นายจิรายุ กล่าว* กัมพูชา 19% ลดลงจาก 36%
กัมพูชาเคยเป็นประเทศที่เผชิญกับอัตราภาษีสูงที่สุดในอาเซียนถึง 49% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ก่อนได้รับจดหมายจากผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ลดภาษีดังกล่าวลงมาเหลือ 36% และล่าสุดยังได้ปรับลดอีกครั้งจนมาอยู่ที่ 19% เท่ากันกับไทย อีกทั้งสถานการณ์ของกัมพูชายังไม่ต่างจากไทยเท่าไรนัก ในแง่ที่ว่าการได้ลดภาษีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศ หากไม่ยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดน
นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กวันนี้ หลังสหรัฐฯ เผยแพร่ตารางอัตราภาษีฉบับแก้ไขว่า "นี่คือข่าวดีสำหรับประชาชนและเศรษฐกิจของกัมพูชาในการเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไป"
นอกจากนี้ นายกฯ กัมพูชายังได้ขอบคุณทรัมป์ที่ "ริเริ่มและผลักดันให้เกิดการหยุดยิงระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพไทย" หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่สื่อกัมพูชา Khmer Times รายงานในวันนี้ว่า ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคนที่หนึ่งแห่งสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) เปิดเผยว่า กัมพูชายกเลิกกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็น 0% และได้สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งจำนวน 10 ลำจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าครั้งสำคัญระหว่างสองชาติ
* มาเลเซีย 19% ลดลงจาก 25%
มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับข่าวดี โดยอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือ 19% จากที่ได้รับแจ้งอัตราภาษี 25% ในการร่อนจดหมายของทรัมป์เมื่อเดือนก.ค. ซึ่งขยับขึ้นจากอัตราเดิม 24% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.
การได้ปรับลดภาษีล่าสุดลงมาเหลือ 19% ทำให้มาเลเซียอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน นักวิเคราะห์ระบุว่า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นหลังจากมาเลเซียได้พยายามอย่างหนักเพื่อ "เอาใจ" ฝ่ายบริหารของทรัมป์ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลดีต่อมาเลเซีย เช่น การรับบทบาทเป็นคนกลางเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องนี้
นอกจากนี้ มาเลเซียยังได้แสดงความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ การดำเนินการเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่มาเลเซียมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเจรจาเพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า 20% เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม (MITI) ของมาเลเซียกล่าวว่า อัตราภาษีที่ลดลงนี้เป็นผลดีและเป็นชัยชนะของมาเลเซียในการยืนหยัดนโยบายหลักของประเทศโดยไม่ถูกบีบบังคับ
ก่อนหน้าที่จะมีคำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ นี้ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้กล่าวในรัฐสภาว่า "อัตราภาษีทั่วไปในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) จะผ่อนปรนลงและไม่สร้างภาระต่อเศรษฐกิจของเรา"
นายอันวาร์ยังยืนยันด้วยว่า ปธน.ทรัมป์จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพในเดือนต.ค. ซึ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นระหว่างสองชาติ เพราะในสมัยแรก ทรัมป์เคยเข้าร่วมการประชุมนี้เพียงครั้งเดียว
* เวียดนาม 20% ลดลงจาก 46%
เวียดนามถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงภาษีกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ 1 ส.ค. โดยเวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% ลดลงอย่างมากจาก 46% ที่ทรัมป์ประกาศไว้เมื่อเดือนเม.ย.
การลดภาษีดังกล่าวเป็นผลมาจากที่เวียดนามได้แสดงความตั้งใจที่จะจัดการกับการส่งออกสินค้าจีนผ่านเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ กังวลอย่างมาก โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 40% หากพบว่าสินค้าดังกล่าวมีการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ภายใต้ข้อตกลงนี้ เวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าประเทศได้โดยไม่มีกำแพงภาษี และได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของสินค้าพลังงาน การเกษตร และอื่นๆ การเจรจานี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เวียดนามกำลังพยายามรักษาสมดุลทางการค้าอย่างระมัดระวังท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
* อินโดนีเซีย 19% ลดลงจาก 32%
อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ได้สำเร็จก่อนกำหนดเส้นตาย 1 ส.ค. ทำให้อัตราภาษีที่อินโดนีเซียถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่อัตรา 19% จากเดิม 32% โดยข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ระบุเงื่อนไขแลกเปลี่ยนว่า สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 99% ที่ส่งไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี และอินโดนีเซียยังต้องยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในหลายภาคส่วน เช่น สินค้าเกษตร ยานยนต์ และเทคโนโลยีอีกด้วย
นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังให้คำมั่นที่จะสั่งซื้อพลังงานมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้งมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตลอดจนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์
ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายในการ "เปิดตลาดต่างประเทศและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอเมริกัน" ตามที่ทรัมป์มุ่งหวังไว้ และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาเพื่อผลักดันให้ประเทศคู่ค้าต้องทำตามข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่สิ้นสุด โดยรัฐมนตรีอาวุโสแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต เปิดเผยว่ายังคงมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังให้อินโดนีเซียสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มและโกโก้ในอัตราที่ต่ำลง หรือใกล้เคียง 0%
ขณะที่ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ยืนยันเช่นกันว่า จะเดินหน้าเจรจากับทรัมป์ต่อไป เพื่อหวังลดอัตราภาษีลงอีก
* ฟิลิปปินส์ 19% ลดลงจาก 20%
สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับฟิลิปปินส์ไว้ที่ 19% แม้ลดลงเพียงเล็กน้อยจากอัตราเดิม 20% แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จทางการทูตสำหรับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากการเดินทางเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และการเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียดของข้อตกลง ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์แสดงความตั้งใจที่จะเสนอการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯ เช่น รถยนต์ เพื่อให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดฟิลิปปินส์ได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า กลุ่มผู้ส่งออกแสดงความผิดหวังที่ปธน.มาร์กอสไม่ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวในการแถลงนโยบายประจำปีครั้งล่าสุด (31 ก.ค.) ทั้งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีการประกาศมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบ
* ลาว 40% ไม่เปลี่ยนแปลง
ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในภูมิภาค โดยต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 40% เท่ากับอัตราภาษีในจดหมายที่ทรัมป์ส่งถึงผู้นำ 14 ประเทศเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งแม้ลดลงจากอัตราเดิม 48% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. แต่ก็ยังถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก
สำหรับสาเหตุที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงนี้ เป็นเพราะลาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ ได้ทันกำหนด
ก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดกับภาคการส่งออก โดยชี้ว่าอัตราภาษีที่สูงนี้คุกคามทั้งการจ้างงานและการลงทุน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ได้เคยส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนเม.ย. เพื่อชี้แจงความคลาดเคลื่อนของตัวเลขการค้าและเสนอให้มีการเจรจา
* เมียนมา 40% ไม่เปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับลาว เมียนมาจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีในจดหมายเมื่อวันที่ 7 ก.ค. แต่ลดลงจากอัตราเดิมที่ 44% เมื่อวันที่ 2 เม.ย.
โดยทำเนียบขาวให้เหตุผลที่เมียนมายังถูกเก็บภาษีในอัตราสูงว่า เป็นเพราะไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ แม้ว่าเมื่อเดือนก่อน พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ส่งจดหมายถึงปธน.ทรัมป์ โดยกล่าวชื่นชมและร้องขอให้ลดอัตราภาษีลงก็ตาม คาดว่าอัตราภาษีที่สูงนี้จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้รุนแรงขึ้น
* สิงคโปร์ 10% ไม่เปลี่ยนแปลง
สิงคโปร์ถือเป็นชาติอาเซียนที่อยู่ในจุดได้เปรียบ โดยอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสิงคโปร์ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยอยู่ที่ 10% เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้นและมูลค่าการค้าที่สมดุลกับสหรัฐฯ อยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ให้ความเห็นว่า แม้ภาษี 10% จะ "ไม่ใช่อัตราในอุดมคติ" แต่สิงคโปร์ก็ "พอรับได้"
ขณะที่ หงัน กิม หยง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของสิงคโปร์ ระบุว่า ระหว่างการเยือนกรุงวอชิงตันครั้งล่าสุด สหรัฐฯ "ไม่มีท่าที" ที่จะเจรจาในอัตราที่ต่ำกว่านี้
อย่างไรก็ดี ด้วยบทบาทในฐานะศูนย์กลางการส่งต่อสินค้าที่สำคัญ ทำให้สิงคโปร์เสี่ยงได้รับผลกระทบจากภาษี transshipment ใหม่ที่ 40%
* บรูไน 25% เพิ่มขึ้นจากเดิม 24%
บรูไนถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นจากอัตราเดิมเมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยขยับขึ้นจาก 24% เป็น 25%
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ USTR ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างบรูไรกับสหรัฐฯ โดยรวมอยู่ที่ 366 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 สินค้าส่งออกหลักของบรูไนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนสินค้าหลักที่บรูไนนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักรและรถยนต์
การประกาศอัตราภาษีใหม่ครั้งนี้จากประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลก โดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองและบีบให้ประเทศต่าง ๆ ต้องยอมทำข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ
แม้ว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเจรจาต่อรองให้ได้อัตราภาษีที่ลดลง แต่ความท้าทายในการปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของรายละเอียดในข้อตกลงที่ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ไปจนถึงประเด็นภาษีเฉพาะภาคส่วน เช่น รถยนต์ หรือเหล็ก ที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกหลักของแต่ละประเทศในอนาคต