เต็งกู ซาฟรูล อาซิซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้ามาเลเซีย เปิดเผยวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า มาเลเซียจะทุ่มงบประมาณถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อสั่งซื้อเทคโนโลยีของสหรัฐฯ สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การบินและอวกาศ และศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษี
ข้อตกลงนี้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากมาเลเซียในอัตรา 19% เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจาก 25% ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนก่อน
รัฐมนตรีการค้า กล่าวต่อรัฐสภาว่า ข้อตกลงนี้ยังรวมถึงพันธกรณีอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อมาเลเซีย โดยมาเลเซียจะเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ปิโตรนาส (Petronas) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ จะสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
จากข้อมูลของทางการสหรัฐฯ ในปี 2567 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากับมาเลเซียสูงถึง 2.48 หมื่นล้านดอลลาร์
เต็งกู ซาฟรูล กล่าวว่า ทั้งสองประเทศกำลังอยู่ระหว่างการสรุปถ้อยแถลงร่วมเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาอย่างเข้มข้นตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
"แม้จะคาดหวังอัตราภาษีที่ต่ำกว่านี้ แต่กระทรวงฯ เชื่อว่าผลการเจรจาถือว่าสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับข้อเสนอที่มาเลเซียยื่นไป" เต็งกู ซาฟรูล กล่าวภายใต้ข้อตกลงนี้ มาเลเซียยังยอมผ่อนปรนในประเด็นอื่น ๆ อีกหลายข้อ เช่น การลดหรือยกเลิกอากรขาเข้าสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ถึง 98.4% ของรายการทั้งหมด และผ่อนคลายมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีบางประการ นอกจากนี้ จะยกเลิกข้อบังคับที่กำหนดให้ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียและคลาวด์ของสหรัฐฯ ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งในมาเลเซียให้กับกองทุนของรัฐ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เต็งกู ซาฟรูล เคยกล่าวว่า มาเลเซียได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าส่งออกกลุ่มเวชภัณฑ์และเซมิคอนดักเตอร์ไปแล้ว และกำลังพยายามขอการยกเว้นเพิ่มเติมสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์อย่างโกโก้ ยางพารา และน้ำมันปาล์ม
อย่างไรก็ตาม เต็งกู ซาฟรูล ยังเตือนว่า ชิปเซมิคอนดักเตอร์อาจยังคงถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมได้อีกตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
"ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาษีเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นได้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่อไป" เต็งกู ซาฟรูล กล่าว