ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ยาที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐ อาจถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 250% ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีสูงสุดที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจนถึงขณะนี้
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเริ่มต้นด้วยการเก็บ "ภาษีศุลกากรเพียงเล็กน้อย" สำหรับยา แต่ภายในระยะเวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง "เป็นอย่างมากที่สุด" เขาจะเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวสู่ระดับ 150% และจากนั้นเป็น 250%
"เราต้องการให้ยาถูกผลิตในประเทศของเราเอง" ปธน.ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ Squawk Box ของสำนักข่าว CNBC
ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวว่า เขาจะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหม่ต่อชิปและเซมิคอนดักเตอร์ในเร็ว ๆ นี้ โดยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า
"เรากำลังจะประกาศเรื่องชิปและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหมวดแยกต่างหาก เพราะเราต้องการให้มันถูกผลิตในสหรัฐ โดยการประกาศนี้จะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า" ปธน.ทรัมป์กล่าวนอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า เขาได้ลดจำนวนรายชื่อผู้ที่อาจได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ เหลือเพียง 4 คน
แม้ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลทั้ง 4 ที่อาจเป็นว่าที่ประธานเฟด แต่เขากล่าวว่า นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด และนายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ต่างก็มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่งดังกล่าว
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งสำหรับตำแหน่งประธานเฟด ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาแล้ว
"ผมรักคุณสก็อตต์มาก แต่เขาอยากอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขา ผมเพิ่งถามเขาเมื่อคืนนี้เองว่า 'คุณอยากรับตำแหน่งนี้ไหม?' [ซึ่งเขาตอบว่า] 'ไม่ครับ ผมอยากอยู่ตรงนี้ต่อ' เขาพูดจริง ๆ ว่า 'ผมอยากทำงานกับคุณ' มันเป็นเกียรติมากเลยนะ ผมก็บอกเขาไปว่า 'นั่นยอดมาก ผมขอขอบคุณมาก'"ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์กล่าวถึงนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดว่า เขาเล่นการเมืองมากเกินไป และล่าช้าเกินไปในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย