เล่นเองเจ็บเอง! กัมพูชาคว่ำบาตรสินค้าไทยทำธุรกิจท้องถิ่นเจ็บหนัก แฟรนไชส์รีแบรนด์เพื่ออยู่รอด

ข่าวต่างประเทศ Wednesday August 6, 2025 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กระแสการบอยคอตสินค้าและแบรนด์ไทยในกัมพูชา ซึ่งเป็นผลพวงจากความขัดแย้งทางการเมือง กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการชาวกัมพูชาเอง โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ไทย จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องธุรกิจและพนักงานของตน

ล่าสุด กลุ่มนักธุรกิจเจ้าของแฟรนไชส์ในกัมพูชาได้ตัดสินใจประกาศยกเลิกสัญญาและเตรียมเปลี่ยนแบรนด์สถานีบริการน้ำมัน PTT ไปเป็นแบรนด์ท้องถิ่นในชื่อ PPC (Peace Petroleum Cambodia) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกระแสการต่อต้านสินค้าไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ยอดขายตก รายได้หาย พนักงานเสี่ยงตกงาน

การบอยคอตไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับบริษัทแม่ในไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อยชาวกัมพูชาที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์ไปแล้ว

Chheang Chharoth ผู้จัดการ Amazon Cafe ในจังหวัดพระสีหนุ เปิดเผยกับสมาคมพันธมิตรนักข่าวกัมพูชา (CamboJA) ว่า รายได้ของร้านลดลงกว่า 80% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา "เมื่อก่อนร้านเราแน่นไปด้วยลูกค้า จนพนักงานทำงานแทบไม่ทัน แต่ตอนนี้เราอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล บางวันฉันอยากจะร้องไห้แทนพนักงานและเจ้าของคนอื่น ๆ เพราะเราไม่อยากสูญเสียใครไปเลย" เธอกล่าวพร้อมยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานและค่าจ้าง

ด้าน Chin Senghong ผู้จัดการสถานีบริการ PTT ในกรุงพนมเปญ สะท้อนภาพเดียวกัน โดยระบุว่า ปั๊มน้ำมันของเขาเงียบเหงาอย่างน่ากังวลตั้งแต่การบอยคอตเริ่มรุนแรงขึ้น และแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิดการรีแบรนด์เพื่อความอยู่รอด แต่จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่ได้รับรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการแฟรนไชส์จากเจ้าของสิทธิ์

จาก PTT สู่ PPC: การรวมตัวของนักธุรกิจเพื่อทางรอด

Tea Siam ผู้ได้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจปั๊มน้ำมัน PTT ในกัมพูชา เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวนี้ โดยประกาศผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (4 ส.ค.) ว่า "สถานีบริการน้ำมัน PTT ทั่วประเทศ" จะถูกเปลี่ยนเป็นแบรนด์ของคนกัมพูชาเอง ในชื่อ PPC พร้อมเผยโลโก้ใหม่ที่มีสัญลักษณ์นกพิราบสื่อถึงเสรีภาพ

ในวิดีโออธิบายแนวคิด เขาได้เน้นย้ำถึงเหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า ธุรกิจ PTT ประมาณ 90% มีเจ้าของและพนักงานเป็นชาวกัมพูชา รวมแล้วหลายหมื่นคน การเปลี่ยนแบรนด์จึงเป็นความพยายามที่จะเข้าควบคุมสิทธิ์แฟรนไชส์เหล่านี้อย่างสมบูรณ์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งภายในของคนกัมพูชาเอง ปัญหาการว่างงาน และลดความเสียเปรียบในเวทีนานาชาติ

"ผมพยายามแก้ไขทั้งเรื่องกฎหมายและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ทุกเรื่องควรจะได้รับการแก้ไขอย่างปรองดอง ผมไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนจากปัญหานี้" Siam กล่าว พร้อมเสริมว่าเจ้าของบริษัทกว่า 100 รายที่ซื้อสิทธิ์แบรนด์ PTT ได้มอบหมายให้เขาเป็นตัวแทนในการยกเลิกสัญญากับ PTT Cambodia ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา

ความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย

ขบวนการ "บอยคอตสินค้าไทย" จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างร้อนแรง และนำไปสู่การทำร้ายกันด้วยคำพูด การเผยแพร่วิดีโอที่ปลุกปั่น และการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าที่ติดป้ายไทย แม้จะมีความพยายามในการรวมตัวเพื่อปกป้องธุรกิจ แต่สังคมแบ่งเป็นสองฝ่าย โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ฝ่ายสนับสนุนการบอยคอต อย่าง Chey Sreynet จากจังหวัดตาแก้ว เชื่อว่าหากไม่มีใครซื้อสินค้า ธุรกิจของกัมพูชาก็จะหยุดนำเข้าและขายสินค้าไทยไปเอง

"ฉันเคยเป็นลูกค้าของ PTT, Amazon Cafe, 7-Eleven และสินค้าไทย แต่พอมีการปิดพรมแดน ฉันก็เลิกซื้อ ถ้าไม่มีใครซื้อ ผู้ขายก็จะหยุดนำเข้าเอง" เธอกล่าว

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย อย่าง Keo Sovannarith นักศึกษากฎหมายในพนมเปญ แสดงความเห็นว่า การบอยคอตอาจทำให้ชาวกัมพูชาด้วยกันเองตกงาน "ผมไม่ได้เข้าร่วมการบอยคอต... เพราะผมสังเกตเห็นว่าพนักงานทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนเขมร" เขากล่าว พร้อมเสริมว่าการบอยคอตเป็นการกระทำที่อาจละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้

"ผมไม่ได้คัดค้านผู้ที่บอยคอต แต่ประเด็นคือ มันเป็นสิทธิ ผมยังเติมน้ำมันต่อไป เพราะมันเป็นสิทธิของผม" นักศึกษากฎหมายปี 3 กล่าว

เช่นเดียวกับ Tea Vichet ผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ 7-Eleven และ Amazon Cafe ซึ่งแสดงความกังวลผ่านเฟซบุ๊กว่า การบอยคอตเป็น "การกระทำที่รุนแรงเกินไป" และละเมิดสิทธิของลูกค้า พนักงาน และเจ้าของธุรกิจ PTT โดยเขาชี้ว่า การที่ผู้คนเข้ามาในร้านเพื่อตั้งคำถามกับพนักงานและลูกค้าไม่ใช่การกระทำเพื่อ "ช่วยเหลือชาวเขมรด้วยกัน"

Por Makara นักวิเคราะห์ด้านสังคมและการเมือง ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า การบอยคอตสินค้าไทยสร้างความขัดแย้งภายในโดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่กัมพูชา เขาย้ำด้วยว่า กระแสชาตินิยมที่ขับเคลื่อนด้วยความโกรธไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ พร้อมเรียกร้องรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขข้อพิพาทบริเวณชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับผลกระทบ

"ผมขอเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาผลิตสินค้าให้มากขึ้น และกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจ เพราะตั้งแต่ 'หัวจรดเท้า' เราผลิตอะไรเองได้บ้าง ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในวันเดียว ดังนั้น แม้ผมจะสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองและข้อพิพาทต่าง ๆ แต่ก็ไม่ควรทำอะไรที่รุนแรงเกินไป เพราะนั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา" เขากล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ