บริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวมีกำไรสุทธิรวมในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ลดลง 10.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยภาคการผลิตได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ผลสำรวจของบริษัทหลักทรัพย์ SMBC Nikko Securities ซึ่งเผยแพร่ในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ระบุว่า ในภาคการผลิต กำไรสุทธิลดลงถึง 22.7% โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรกลขนส่ง เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ มีกำไรร่วงลงถึง 42.1%
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ผลประกอบการโดยบริษัทต่าง ๆ และนักวิเคราะห์ คาดว่ากำไรสุทธิรวมตลอดปีงบประมาณซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2569 จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
การวิเคราะห์นี้อิงจากรายงานผลประกอบการของบริษัท 823 แห่งที่เผยแพร่ข้อมูลภายในวันพฤหัสบดี คิดเป็นประมาณ 70% ของบริษัทที่อยู่บนกระดานบริษัทชั้นนำ (Prime Market) ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งปีงบประมาณสิ้นสุดในเดือนมี.ค.
ฮิคารุ ยาซุดะ หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านหุ้นของ SMBC Nikko ระบุว่า "กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบชัดเจนจากมาตรการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" โดยเสริมว่าภาคส่วนนี้ยังได้รับผลกระทบจากยอดขายในประเทศที่อ่อนแอลงด้วย
การแข็งค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปีก่อน ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดผลกำไรในอุตสาหกรรมการผลิต เช่น กลุ่มเครื่องจักร ที่มีกำไรสุทธิลดลง 10.7%
ภาคเหล็กและเหล็กกล้ายังประสบภาวะขาดทุนจากการแข่งขันด้านราคากับสินค้าราคาถูกจากจีน
อย่างไรก็ตาม กระแสความนิยมของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยหนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมชิปมีกำไรพุ่งขึ้น โดยบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำไรเพิ่มขึ้น 18.2%
ขณะเดียวกัน บริษัทก่อสร้างมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10.6% จากการได้รับสัญญาก่อสร้างโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่
ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 30.4% จากยอดขายคอนโดมิเนียมหรูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการปรับขึ้นค่าเช่าสำนักงาน