ลิซา คุก สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ออกมาเคลื่อนไหว หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความบนทรูธ โซเชียล ในวันจันทร์ (25 ส.ค.) ว่า เขาได้สั่งปลดคุกออกจากตำแหน่งแล้ว โดยมีผลในทันที ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสะท้อนให้เห็นว่าปธน.ทรัมป์กำลังยกระดับการโจมตีความเป็นอิสระของเฟด หลังจากที่เฟดปฏิเสธที่จะลดอัตราดอกเบี้ยตามความต้องการของเขา
"ประชาชนชาวอเมริกันต้องสามารถเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของสมาชิกที่ได้รับมอบหมายให้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลธนาคารกลางสหรัฐฯ" ปธน.ทรัมป์ระบุในจดหมายที่เขาโพสต์ลงบนทรูธโซเชียล และเสริมว่า "เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมที่หลอกลวงและอาจเป็นอาชญากรรมของคุณในเรื่องการเงินแล้ว ชาวอเมริกันและตัวผมเองไม่สามารถเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของคุณได้"
คุกได้ออกแถลงการณ์หลังจากนั้นไม่นานว่า "ปธน.ทรัมป์อ้างว่าได้ปลดดิฉัน 'เพราะมีเหตุผล' ทั้งที่ไม่มีเหตุอันควรตามกฎหมาย และท่านไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น ... ดิฉันจะไม่ลาออก ดิฉันจะทำหน้าที่ต่อไปเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจอเมริกันอย่างที่ได้ทำมาตั้งแต่ปี 2565"
คุก ซึ่งเป็นสตรีผิวสีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเฟดและได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตปธน.โจ ไบเดน ได้ว่าจ้าง แอบบี โลเวลล์ ทนายความชื่อดังมาเป็นตัวแทนในการต่อสู้กับเรื่องนี้ โดยนับจนถึงขณะนี้เธอยังไม่ถูกตั้งข้อหาใด ๆ ในคดีอาญา
โลเวลล์กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ปธน.ทรัมป์ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อ 'ไล่เจ้าหน้าที่ออกผ่านการทวีตข้อความ' อีกครั้ง และอีกครั้งที่ปฏิกิริยาการข่มขู่ของท่านมีข้อบกพร่อง และข้อเรียกร้องของท่านขาดกระบวนการที่เหมาะสม พื้นฐาน หรืออำนาจทางกฎหมาย ... เราจะดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายที่ท่านพยายามจะทำ"
ทั้งนี้ สภาคองเกรสได้จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในการสั่งปลดผู้ว่าการเฟดเพียงฝ่ายเดียว โดยกฎหมาย Federal Reserve Act ค.ศ. 1913 ระบุว่าประธานาธิบดีสามารถทำการดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อ "มีเหตุอันควร" เท่านั้น แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้ให้รายละเอียดว่า "เหตุอันควร" คืออะไร แต่โดยปกติแล้วจะหมายถึงการประพฤติมิชอบหรือการละเลยการปฏิบัติหน้าที่
การที่ปธน.ทรัมป์ปลดคุกนั้น อาจเผชิญกับความท้าทายในศาลรัฐบาลกลาง และศาลสูงสุดอาจตัดสินในท้ายที่สุดว่าการปลดเธอออกจากตำแหน่งนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากศาลยืนยันการปลดดังกล่าว ปธน.ทรัมป์จะสามารถแต่งตั้งผู้ว่าการเฟดที่เขาเลือกได้และสร้างเสียงข้างมากในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ว่าการเฟดจะมีวาระการทำหน้าที่ 14 ปี