ศาลฎีกาสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) ว่า จะเปิดการไต่สวนในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ เพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในวงกว้างที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์บังคับใช้กับการนำเข้าสินค้าจากเกือบทุกประเทศทั่วโลก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ศาลสูงสุดมีมติรับคำอุทธรณ์จากฝ่ายบริหารของทรัมป์และคำร้องให้พิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน โดยสื่อสหรัฐฯ รายงานว่ากำหนดการดังกล่าวอาจนำไปสู่คำตัดสินได้ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่มาตรการภาษีศุลกากรในอัตราสูงของทรัมป์นั้นจะยังคงมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าศาลจะมีคำตัดสินขั้นสุดท้าย
ในช่วงปลายเดือนส.ค. ศาลอุทธรณ์มีมติ 7 ต่อ 4 เสียงว่า การที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์บังคับใช้มาตรการภาษีรายประเทศเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมาตรการดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งลดการขาดดุลการค้าและฟื้นฟูภาคการผลิตในสหรัฐฯ
ศาลอุทธรณ์ยังคงตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นที่ชี้ว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยการอ้างกฎหมายฉุกเฉินซึ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เพื่อนำมาตรการภาษีมาใช้โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส
ทรัมป์ได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและสร้างความซับซ้อนต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศ โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดใช้กฎหมายนี้เพื่อเก็บภาษีสินค้านำเข้า
ทรัมป์โจมตีศาลอุทธรณ์ว่า ไม่เป็นกลางและมีอคติทางการเมืองชัดเจน และย้ำว่าหากฝ่ายบริหารแพ้คดีนี้จะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
คำตัดสินที่กำลังจะเกิดขึ้นของศาลสูงสุดซึ่งมีผู้พิพากษาสายอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากนั้น อาจสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีแบบเจาะจงกลุ่มอุตสาหกรรมของฝ่ายบริหารทรัมป์ เช่น ภาษีนำเข้ารถยนต์และเหล็ก ซึ่งถูกบังคับใช้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงภายใต้กฎหมายอีกฉบับหนึ่ง