กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทรายใหญ่ในประเทศมีมุมมองเชิงบวกต่อสภาวะธุรกิจในช่วงไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบสองไตรมาส โดยเป็นผลมาจากความต้องการชิปที่ฟื้นตัว และความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดน้อยลง
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น อยู่ที่ระดับ 4.7 ฟื้นตัวจากไตรมาสเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ระดับ -1.9
ผลสำรวจยังเผยด้วยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 3.8 และดัชนีความเชื่อมั่นนอกภาคการผลิตอยู่ที่ 5.2 ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.
สำหรับแนวโน้มความเชื่อมั่นทางธุรกิจในไตรมาสเดือนต.ค.-ธ.ค. บริษัทขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมการสำรวจยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 4.3
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า มีบริษัทประมาณ 11,000 แห่งเข้าร่วมการสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นในวันที่ 15 ส.ค. หลังจากที่ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งทำให้อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากญี่ปุ่นลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15%
แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้มีการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรจนกระทั่งต้นเดือนก.ย. แต่ข้อตกลงนี้ได้ช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นคลายความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลกระทบที่มีต่อธุรกิจและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออก หลังจากที่ก่อนหน้านั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 25% ขณะที่อัตราภาษีรถยนต์โดยรวมพุ่งขึ้นเป็น 27.5%
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าความเชื่อมั่นในหมู่บริษัทขนาดใหญ่จะปรับดีขึ้น แต่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าบริษัทขนาดเล็กยังคงมีมุมมองที่เป็นลบ โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ -9.6