สหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงต่อการชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลกลาง หากสภาคองเกรสไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องงบประมาณได้ก่อนเส้นตายคืนวันอังคาร (30 ก.ย.) ซึ่งตรงกับเวลาประเทศไทยราว 11.00 น.ในวันพุธนี้ (1 ต.ค.) โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้บริการสาธารณะหลายด้านหยุดชะงักและเจ้าหน้าที่จำนวนมากถูกพักงานชั่วคราว
การประชุมที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (29 ก.ย.) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตไม่สามารถสร้างความคืบหน้าได้มากนัก ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุ หากหน่วยงานรัฐบาลต้องปิดทำการ
เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ โดยพรรคเดโมแครตยืนยันว่าการขยายกรอบเวลางบประมาณจำเป็นต้องรวมถึงการคงสิทธิประโยชน์ด้านเฮลท์แคร์ที่ใกล้หมดอายุ ขณะที่พรรครีพับลิกันของทรัมป์ย้ำว่าประเด็นดังกล่าวควรถูกพิจารณาแยกจากเรื่องงบประมาณ
ชัค ชูเมอร์ แกนนำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภากล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมาก หากไม่มีข้อตกลง เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางตั้งแต่องค์การนาซาไปจนถึงอุทยานแห่งชาติอาจถูกสั่งพักงาน ศาลรัฐบาลกลางอาจปิดทำการ และเงินสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กอาจถูกเลื่อนการเบิกจ่าย
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา วิกฤตการต่อรองด้านงบประมาณระหว่างสองพรรคการเมืองเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และมักได้รับการแก้ไขในนาทีสุดท้าย แต่ในรอบนี้ความไม่แน่นอนยิ่งทวีคูณจากท่าทีของทรัมป์ที่พร้อมเพิกเฉยต่อกฎหมายการใช้จ่ายที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาคองเกรส
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง จัดทำแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่ หากสภาคองเกรสตกลงเรื่องงบประมาณกันไม่ได้จนทำให้เกิดภาวะการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแนวทาง จากเดิมที่ทำเพียงสั่งให้พนักงานหยุดงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (furlough) ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในการชัตดาวน์ครั้งก่อน ๆ
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นความพยายามของทำเนียบขาวที่จะใช้ภาวะชัตดาวน์เป็นโอกาสผลักดันนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการลดขนาดกำลังคนของรัฐบาลกลาง หรือเป็นเพียงกลยุทธ์บีบให้พรรคเดโมแครตยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของพรรครีพับลิกัน