ราคาทองคำยังคงทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีสัญญาณว่าจะลดความร้อนแรงลง โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา ราคาทองคำแท่งในตลาดโลกพุ่งทะลุระดับ 4,100 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เพิ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ all-time high เป็นครั้งที่ 45 ของปี 2568 ที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค.
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ที่ผ่านมาราคาทองคำใช้เวลาเกือบ 15 ปี กว่าจะขยับจาก 1,000 ดอลลาร์ เป็น 2,000 ดอลลาร์ แต่ใช้เวลาเพียง 14 เดือน ปรับราคาขึ้นจาก 2,000 ดอลลาร์ เป็น 3,000 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 207 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 500 ดอลลาร์หลังสุด (จาก 3,500 ดอลลาร์ เป็น 4,000 ดอลลาร์) ที่กินเวลาเพียง 36 วันเท่านั้น!
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของราคาทองทำให้เกิดการตั้งคำถามในหมู่นักลงทุนว่า การทะยานครั้งล่าสุดนี้เป็นการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มขาขึ้นที่จะดำเนินต่อไป หรือกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับฐาน
เหตุใดราคาทองจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
การทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองคำมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ความต้องการของธนาคารกลาง การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการคาดการณ์ด้านนโยบายการเงิน
1. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: นับตั้งแต่ปี 2565 ความขัดแย้งทั่วโลกหลายเหตุการณ์ เช่น การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีน-ไต้หวัน และสหรัฐฯ-จีน รวมถึงสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ยืดเยื้อ ได้สั่นคลอนเสถียรภาพทางการเงินทั่วโลก ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ทองคำจึงกลับมาเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือก
2. ความต้องการจากธนาคารกลาง: ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มการถือครองทองคำอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า ในปี 2567 ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ซื้อทองคำทำสถิติที่ 1,180 ตัน ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปริมาณเฉลี่ย 500 ตันต่อปีในอดีต นอกจากนี้ ธนาคารกลางหลายแห่งยังเริ่มย้ายทุนสำรองทองคำจากห้องนิรภัยของธนาคารกลางอังกฤษกลับไปยังประเทศของตน ซึ่งสะท้อนถึงแรงผลักดันด้านอธิปไตยทางการเงิน
3. การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: การพุ่งขึ้นของราคาทองคำยังเชื่อมโยงกับการอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ลดลงเกือบ 10% ในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความตึงเครียดทางการค้า ประกอบกับหนี้สินที่พอกพูนของรัฐบาลสหรัฐฯ การขาดดุลงบประมาณที่ขยายกว้างขึ้นนี้ส่งผลให้ Moodys ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ซึ่งยิ่งเพิ่มความน่าดึงดูดใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ระยะยาวที่ปลอดภัย
4. การคาดการณ์ด้านนโยบายการเงิน: ความต้องการลงทุนในทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร
ราคาทองคำเคยพุ่งแรงมาก่อนในอดีต
เหตุการณ์ที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ ได้แก่ ช่วงปีพ.ศ. 2522-2523 และช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในทศวรรษ 1930s (พ.ศ. 2472-2482)
ช่วงปีพ.ศ. 2522-2523: ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า จากประมาณ 200 ดอลลาร์ เป็นกว่า 850 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีปัจจัยหลักคือภาวะเงินเฟ้อสูงแบบตัวเลขสองหลัก วิกฤตการณ์น้ำมัน และวิกฤตการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การปฏิวัติอิหร่านและการรุกรานอัฟกานิสถานโดยสหภาพโซเวียต
ช่วงปีพ.ศ. 2472-2482: การพุ่งขึ้นของราคาทองคำเกิดขึ้นจากการกำหนดนโยบาย โดยในปี 2477 ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ได้กำหนดมูลค่าทองคำใหม่จาก 20.67 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็น 35 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายใต้กฎหมาย Gold Reserve Act การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ทำให้ราคาทองคำอย่างเป็นทางการเพิ่มขึ้นทันทีประมาณ 70%
แนวโน้มในปัจจุบัน และความเสี่ยงในอนาคต
ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า การพุ่งขึ้นของราคาทองคำมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับความกลัว เงินเฟ้อ และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงเมื่อตลาดกลับมามีเสถียรภาพและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เช่น ในปี 2525 ราคาทองคำร่วงลงไปกว่า 50% จากจุดสูงสุด หลังจากที่พอล โวล์คเกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในขณะนั้น ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาทองในปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตตรงที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุด โดยความต้องการที่ต่อเนื่องของธนาคารกลางอาจเป็นปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำพุ่งต่อ แม้ว่าบรรยากาศการเก็งกำไรอาจจะลดลงก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าการถือครองทองคำอาจยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว โดยการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 638 ตันในปีนี้ ทำให้ปริมาณการถือครองรวมอยู่ที่ 3,857 ตัน ซึ่งต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนพ.ย. 2563 เพียง 2% โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า "ยังอยู่ในช่วงต้น" ของการสะสม
ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับการสะสมทองคำผ่านกองทุน ETF ในภาวะกระทิงครั้งใหญ่สองรอบก่อนหน้านี้ ซึ่งกินเวลานานถึง 221 และ 253 สัปดาห์ การสะสมทองคำรอบล่าสุดนี้เพิ่งดำเนินมาได้เพียง 74 สัปดาห์ และมีปริมาณเพิ่มขึ้น 788 ตัน หรือคิดเป็นเพียง 30%-40% ของปริมาณที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในสองรอบก่อนหน้า
สำหรับคำตอบของคำถามที่ว่า แนวโน้มขาขึ้นนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่ นักวิเคราะห์เชื่อว่า หากปัจจัยสนับสนุนยังคงอยู่ เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ตลอดจนความต้องการจากธนาคารกลาง ราคาทองก็น่าจะยังคงไปได้ต่อ
แต่หากอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างรวดเร็ว และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ทองคำอาจเผชิญกับการปรับฐานคล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2523 นอกจากนี้ ตัวชี้วัดทางเทคนิคบางตัวบ่งชี้ว่า ตลาดกำลังอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และหากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายลง ก็อาจเริ่มมีการโยกย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยง แทนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ