สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดเผยว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากนิการากัวในอัตราสูงถึง 100% หลังจากนโยบายด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชนของนิการากัวไร้เหตุผล และอุปสรรคขัดขวางการค้ากับสหรัฐฯ
USTR ได้เผยแพร่ผลการสอบสวนตาม "มาตรา 301" ว่าด้วยแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในวันจันทร์ (20 ต.ค.) โดยพบว่า ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีออร์เตกา-มูริโยของนิการากัวได้มีส่วนร่วมมากขึ้นในการละเมิดสิทธิแรงงาน รวมถึงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน อีกทั้งได้เพิกถอนการคุ้มครองประชาชนการกระทำโดยพลการของรัฐบาล
ทั้งนี้ USTR ระบุว่า สิ่งเหล่านี้รวมถึงการอนุญาตให้มีการใช้แรงงานเด็กและบีบบังคับใช้แรงงาน ตลอดจนการค้ามนุษย์ การปราบปรามเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการเจรจาต่อรองร่วมกัน การจับกุมตามอำเภอใจ และการถอดถอนสัญชาติของสมาชิกสหภาพแรงงาน
หลังจากมีการเผยแพร่ผลการสอบสวน USTR ได้เสนอให้รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บภาษีสูงถึง 100% สำหรับสินค้าทั้งหมดหรือบางส่วนที่นำเข้าจากนิการากัว โดยปธน.ทรัมป์จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะดำเนินการในทิศทางใด
นอกจากนี้ USTR ยังเสนอให้ระงับผลประโยชน์ทั้งหมดหรือบางส่วนของนิการากัวภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกากลาง-สาธารณรัฐโดมินิกัน (CAFTA-DR) โดยให้มีผลทันทีหรือทยอยดำเนินการภายใน 12 เดือน
ทั้งนี้ นิการากัวได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นศูนย์จากสหรัฐฯ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่ผลิต รวมทั้งสินค้าเกษตรมากกว่าครึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อนิการากัวได้เข้าร่วมข้อตกลงการค้า CAFTA-DR โดยหากปธน.ทรัมป์เลือกบทลงโทษสูงสุด อัตราภาษีศุลกากรทั้งหมดที่เรียกเก็บจากนิการากัวจะสูงกว่า 100% เนื่องจากหากมีการเพิกถอนสิทธิประโยชน์การค้าเสรี ก็จะทำให้ภาษีของนิการากัวกลับไปอยู่ในอัตราเดียวกับ "ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง" (Most Favored Nation) ซึ่งเป็นสถานะเดิมของนิการากัว
สำหรับการสอบสวนมาตรา 301 นี้ เริ่มต้นขึ้นโดยแคเธอรีน ไท่ อดีตผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2567 โดยแคเธอรีน ไท่ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนสิทธิแรงงานมาอย่างยาวนาน