พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้เน้นย้ำคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) โดยระบุว่าสเตเบิลคอยน์ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มักจะถูกผูกมูลค่าไว้กับสกุลเงินที่ออกโดยธนาคารกลาง (Fiat Currency) นั้น กำลังสร้างความวิตกกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ทั่วโลก
ผู้ว่าการ PBOC กล่าวในระหว่างการประชุมที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) ว่า จีนจะเดินหน้าพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เขาได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนต่อสเตเบิลคอยน์ โดยระบุถึงมุมมองของบรรดาผู้ว่าการธนาคารกลางและรัฐมนตรีคลังของประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตันเมื่อต้นเดือนนี้
เขากล่าวว่า เมื่อมองในแง่ของกิจกรรมทางการเงินในปัจจุบัน สเตเบิลคอยน์ไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับการระบุตัวตนของลูกค้าและกฎระเบียบด้านการต่อต้านการฟอกเงิน ทำให้ช่องโหว่ในการกำกับดูแลทางการเงินทั่วโลกมีมากขึ้น เช่น การฟอกเงิน การโอนเงินข้ามพรมแดนที่ผิดกฎหมาย และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
จีนยังคงใช้แนวทางที่ระมัดระวังต่อสกุลเงินดิจิทัลจนถึงขณะนี้ แม้ก่อนหน้านี้มีสัญญาณว่าจีนอาจพิจารณาใช้สเตเบิลคอยน์สำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน โดยผู้ว่าการ PBOC เตือนในเรื่องนี้ว่า สเตเบิลคอยน์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และกล่าวว่ามุมมองของเจ้าหน้าที่ทั่วโลกที่มีการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดอย่างรุนแรง
"สกุลเงินดิจิทัลกำลังเพิ่มความเปราะบางต่อระบบการเงินโลก และส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงินของประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ" ผู้ว่าการ PBOC กล่าวการที่สเตเบิลคอยน์มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความเชื่อมโยงมากขึ้นกับการเงินกระแสหลักนั้น ได้กระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแล องค์กรเฝ้าระวัง และสถาบันต่าง ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ได้ออกคำเตือนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แม้สหรัฐฯ จะนำร่องไปแล้วในปีนี้ ด้วยการกำหนดกฎระเบียบในการควบคุมดูแลสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับสกุลเงินดอลลาร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนในจีนไม่เห็นด้วยกับการยอมรับให้สกุลเงินดิจิทัลผูกติดกับค่าเงินหยวน
ในช่วงต้นปีนี้ ทางการจีนได้แจ้งให้โบรกเกอร์ในประเทศหยุดเผยแพร่งานวิจัยหรือจัดการสัมมนาเพื่อส่งเสริมสเตเบิลคอยน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในระบบการเงินของจีน