ดีลอยท์ชี้นโยบายภาษีทรัมป์ดันต้นทุนอุตฯ น้ำมัน-ก๊าซเพิ่ม ฉุดการลงทุนชะลอตัวปีหน้า

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 29, 2025 15:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดีลอยท์ (Deloitte) หนึ่งในบริษัทตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกเปิดเผยรายงานในวันนี้ (29 ต.ค.) ระบุว่า การเก็บภาษีศุลกากรในวงกว้างของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเพิ่มสูงขึ้น กดดันห่วงโซ่อุปทาน และทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวชะลอตัวในปี 2569

ดีลอยท์ชี้ว่า ภาคพลังงานของสหรัฐฯ พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างมาก โดยต้องนำเข้าวัสดุสำคัญจากต่างประเทศ เช่น แท่นขุดเจาะ วาล์ว เครื่องอัดอากาศ และเหล็กพิเศษ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่งพลังงาน

การเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าประเภทดังกล่าว รวมถึงเหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง อาจทำให้ต้นทุนวัสดุและบริการในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 440% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมถูกกดดันอย่างหนัก

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้กำหนดภาษีสินค้านำเข้าหลายประเภท เช่น ภาษี 1025% สำหรับน้ำมันดิบหรือวัตถุดิบที่นำเข้าจากประเทศนอกข้อตกลงสหรัฐฯเม็กซิโกแคนาดา และภาษี 50% สำหรับเหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง ซึ่งอาจทำให้โครงสร้างต้นทุนของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเปลี่ยนไป และสร้างความไม่แน่นอนในการจัดหาวัตถุดิบ

นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อและความผันผวนทางการเงินที่เกิดจากภาษี อาจส่งผลให้การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision - FID) และโครงการกรีนฟิลด์นอกชายฝั่ง มูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องเลื่อนออกไปจนถึงปี 2569 หรือหลังจากนั้น ผู้ประกอบการจึงอาจประสบกับความยากลำบากในการรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น และจะลดการลงทุนในอุตสาหกรรมโดยรวม

เพื่อรับมือกับภาวะดังกล่าว ดีลอยท์คาดว่า บริษัทน้ำมันและก๊าซจะเร่งเจรจาสัญญาใหม่ที่มีเงื่อนไขการปรับราคา (escalation) และข้อกำหนดเหตุสุดวิสัย (force majeure) เพื่อกระจายความเสี่ยงและจำกัดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด

สถานการณ์นี้อาจผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานมากกว่าการซื้อของในราคาต่ำสุด โดยอาจเลือกใช้ซัพพลายเออร์ภายในประเทศ หรือจากประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษี รวมถึงการใช้โซนการค้าต่างประเทศและการจัดประเภทภาษีใหม่เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านภาษี

ดีลอยท์ระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากในปี 2567 สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าท่อเหล็กเกือบ 40% ของความต้องการทั้งหมดในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ