เอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อวันจันทร์ (3 พ.ย.) ระบุว่า บริษัทไซออน แอสเซท แมเนจเมนต์ (Scion Asset Management) ของไมเคิล เบอร์รี ได้เข้าซื้อ "put option" (สิทธิในการขายหุ้นที่ราคาและเวลาที่กำหนด โดยคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก) มูลค่ารวมเกือบ 1.1 พันล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็น 187.6 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) และ 912 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นพาลันเทียร์ (Palantir)
การตัดสินใจครั้งนี้ของเบอร์รี นักลงทุน ผู้ซึ่งเรื่องราวการลงทุนของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ "The Big Short" กลับมาเขย่าวงการอีกครั้ง ตอกย้ำกระแสความกังวลว่าหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังร้อนแรงอาจเป็นเพียงภาวะฟองสบู่มากกว่าจะเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยี
รายงานระบุว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมาก กำลังซื้อขายในระดับราคาสูงเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า กระแสการลงทุนใน AI อาจกลายเป็น "การระดมทุนแบบวนเวียน" เนื่องจากหลายบริษัทเทคโนโลยีต่างลงทุนไขว้กันในเครือข่ายขนาดใหญ่ ขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามว่า การเติบโตของกำไรในอนาคตจะสามารถรองรับการใช้จ่ายมหาศาลเช่นนี้ได้จริงหรือไม่
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นเทคโนโลยีอาจถึงเวลาปรับฐาน หลังราคาพุ่งแรงติดต่อกันหลายเดือน และมองว่าความเห็นของเบอร์รีอาจเพิ่มแรงกดดันทางจิตวิทยาในตลาดมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้เบอร์รีจะเคยทำนายผิดพลาดในอดีต เช่น ในต้นปี 2566 ที่เขาโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เพียงคำเดียวว่า "Sell" (ขาย) ก่อนจะยอมรับในภายหลังว่าคิดผิด แต่ด้วยชื่อเสียงจากการมองตลาดอย่างเฉียบขาดในอดีต โดยเฉพาะการคาดการณ์วิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ปี 2551 ได้อย่างแม่นยำ เสียงของเขายังคงมีอิทธิพลต่อวอลล์สตรีททุกครั้งที่ออกมาเคลื่อนไหว