กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างชาติในเดือนก.ย. อยู่ที่ระดับ 9.249 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 9.262 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ โดยต่างชาติ ปรับตัวขึ้น 5.5%
ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด โดยถือครองเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.189 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และทำสถิติการถือครองเป็นมูลค่ามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565
ขณะที่สหราชอาณาจักรถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่อันดับ 2 ด้วยมูลค่า 8.65 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ลดลงจากระดับ 9.043 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
ด้านจีน ซึ่งถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่อันดับ 3 ลดการถือครองลงสู่ระดับ 7.005 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. จากระดับ 7.01 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. หลังจากที่เคยลดการถือครองลงเหลือ 6.969 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551
นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนค่อย ๆ ปรับลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าจีนพิจารณาการถือครองพันธบัตรทั้งในเชิงกลยุทธ์และการขับเคลื่อนโดยตลาด โดยในเชิงกลยุทธ์นั้น จีนได้พยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ในระบบทุนสำรอง การชำระบัญชีทางการค้า และวัตถุประสงค์ในการลงทุน
นอกจากนี้ จีนยังปรับลดพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อพยุงค่าเงินหยวน โดยนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ภาวะการเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ตลอดจนความท้าทายที่ยังคงอยู่หลังการแพร่ระบาดของโควิด และอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้ส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าจากการส่งออกของจีนลดน้อยลง ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้จีนต้องใช้กลยุทธ์ในการพยุงค่าเงินหยวน