มารอส เซฟโควิช กรรมาธิการการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (EU) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (21 พ.ย.) ว่า EU กำลังพิจารณาการลงทุนโดยตรงในบริษัทเหมืองแร่ของออสเตรเลีย เพื่อรักษาความมั่นคงด้านอุปทานของแร่ธาตุสำคัญ โดยอาจรวมถึงการที่หน่วยงานด้านการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งยุโรป (European Investment Bank) เข้าถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ตลอดจนการที่รัฐบาลยุโรปทำข้อตกลงซื้อ ไปจนถึงการร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของออสเตรเลีย
เซฟโควิชเปิดเผยว่า เขาได้พบกับดอน ฟาร์เรล รัฐมนตรีกระทรวงการค้า และมาเดอลีน คิง รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรของออสเตรเลียในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาถึงแนวทางที่ดีที่สุดในการสนับสนุนห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดที่เชื่อมโยงกับวัตถุดิบสำคัญ โดยเซฟโควิชกล่าวว่า เขาและรัฐมนตรีทั้งสองของออสเตรเลียได้พูดคุยกันในทุกประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่การสกัด การกลั่น การแปรรูป ไปจนถึงการใช้แร่ธาตุสำคัญ และยังกล่าวด้วยว่าเป็นการพบปะหารือที่เข้มข้นอย่างมาก
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า การผลักดันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ EU ประกาศในสัปดาห์นี้ว่า EU วางแผนที่จะจัดตั้งหน่วยงานกลางเพื่อทำการซื้อและสต็อกแร่ธาตุสำคัญ เพื่อป้องกันการที่สหรัฐฯ กว้านซื้อแร่ธาตุเหล่านี้จากทั่วโลก
EU ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 16% ของการค้าสินค้าและบริการทั่วโลกนั้น กำลังเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลียที่ล่าช้ามานาน หลังจากที่ข้อตกลง FTA ในรูปแบบก่อนหน้านี้ได้ถูกระงับ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การส่งออกเนื้อวัวและสินค้าเกษตรจากออสเตรเลีย
ทั้งนี้ แร่ธาตุสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แร่หายาก ได้มีการนำไปใช้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่อุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีป้องกันขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์ แต่ห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยจีน สินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้จึงกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุให้สหรัฐฯ เข้าไปถือหุ้นในบรรดาบริษัทผู้ผลิต รวมถึงในออสเตรเลียด้วย
เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย ได้ลงนามในข้อตกลงแร่หายากมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มุ่งเพิ่มอุปทานวัสดุที่มีความสำคัญสำหรับภาคการป้องกันประเทศและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน
ข้อตกลงดังกล่าวจะให้ทุนสนับสนุนหลายโครงการที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที ซึ่งทั้งสองประเทศจะร่วมลงทุนประเทศละ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 6 เดือนข้างหน้า