องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากระดับ 3.2% ในปี 2568 สู่ระดับ 2.9% ในปี 2569 ซึ่งสอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ในเดือนกันยายน
รายงานระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้อต่อการขยายตัว, สภาวะทางการเงินที่ดีขึ้นจากความเชื่อมั่นในผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ และการเพิ่มขึ้นของการลงทุนและการค้าที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่างก็ช่วยหนุนอุปสงค์ทั่วโลก
อย่างไรก็ดี หากมีการเพิ่มขึ้นของอุปสรรคทางการค้า หรือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ก็อาจชะลอการเติบโต, เพิ่มความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
รายงานยังระบุว่า สินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงจากความคาดหวังในเชิงบวกเกี่ยวกับการพัฒนา AI อาจเผชิญกับการปรับฐานอย่างกะทันหัน ขณะที่ความเปราะบางทางการคลังของหลายประเทศอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการขยายตัวจากระดับ 2.8% ในปี 2567 สู่ระดับ 2.0% ในปี 2568 และชะลอลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 1.7% ในปี 2569 โดยได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากร การบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัว และการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนคาดว่าจะเติบโต 1.3% ในปี 2568 และ 1.2% ในปี 2569
รายงานระบุว่า ผลกระทบของภาษีศุลกากรยังไม่ปรากฏทั้งหมด แต่กำลังเห็นได้ชัดมากขึ้นในการใช้จ่าย ต้นทุนธุรกิจ และราคาสินค้าผู้บริโภค โดยเฉพาะในสหรัฐ
รายงานเน้นว่า ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ นโยบายสำคัญคือการลดความตึงเครียดทางการค้า ลดความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และลดอัตราเงินเฟ้ออย่างยั่งยืน รวมทั้งจัดการความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินที่กำลังเพิ่มขึ้น และดำเนินการปฏิรูปในเชิงรุกเพื่อเสริมสร้างการเติบโตด้านผลิตภาพ
นายมาธีอัส คอร์มันน์ เลขาธิการ OECD กล่าวว่า การเจรจาอย่างสร้างสรรค์ระหว่างประเทศต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าอย่างยั่งยืน และช่วยฟื้นแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยระบบตลาดโลกแบบเปิดที่ทำงานได้ดีจะช่วยให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้นและการขยายตัวเข้มแข็งขึ้น