สายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ (Delta Air Lines) เปิดเผยในวันพุธ (3 ธ.ค.) ว่า การชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อไม่นานมานี้ คาดว่าจะทำให้กำไรในไตรมาส 4/2568 ของสายการบินฯ ได้รับผลกระทบราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เอ็ด บาสเตียน ซีอีโอของเดลต้า กล่าวกับนักลงทุนว่า การชัตดาวน์ที่ยาวนานถึง 43 วัน ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องจำกัดการเดินทางทางอากาศที่สนามบินหลักเมื่อเดือนที่แล้ว จะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทฯ ลดลงราว 25 เซนต์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การชัตดาวน์ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับเที่ยวบินหลายหมื่นเที่ยวทั่วประเทศ โดยเมื่อต้นเดือนพ.ย. องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ได้สั่งลดเที่ยวบิน ณ สนามบินที่มีผู้โดยสารคับคั่งที่สุด 40 แห่ง เนื่องจากขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ
ซีอีโอของเดลต้ากล่าวว่า ในช่วง 10 วันที่มีการจำกัดเที่ยวบิน ยอดจองเที่ยวบินของเดลต้าลดลง 5-10% โดยเฉพาะการเดินทางเพื่อธุรกิจที่ลดลงและยอดขอคืนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเสริมว่า สายการบินแห่งนี้ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยยอดจองกลับมาเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หลังการชัตดาวน์สิ้นสุดลง พร้อมระบุว่า ความต้องการยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
ขณะเดียวกัน อลาสกา แอร์ กรุ๊ป (Alaska Air Group) เจ้าของสายการบินอลาสกา แอร์ไลน์ส (Alaska Airlines) และฮาวายเอียน แอร์ไลน์ส (Hawaiian Airlines) รายงานว่า การชัตดาวน์รัฐบาลกลางคาดว่าจะส่งผลให้กำไรไตรมาส 4/2568 ลดลง 15 เซนต์ต่อหุ้น
บริษัทระบุว่า สายการบินฯ ต้องยกเลิกเที่ยวบินถึง 600 เที่ยวบินจากการลดการจราจรทางอากาศของรัฐบาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อลูกค้าราว 40,000 ราย และเผยว่า รายได้ของอลาสกาลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่วุ่นวายจากการชัตดาวน์ และยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่แนวโน้มก่อนหน้าที่จะมีการชัตดาวน์แต่อย่างใด