หลิว ชื่อจิ่น อดีตสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวว่า จีนควรเพิ่มการนำเข้าและผลักดันการชำระหนี้ด้วยเงินหยวน เพื่อให้ดุลทางการค้าต่างประเทศอยู่ในภาวะสมดุล โดยเขามองว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการใช้สกุลเงินหยวนทั่วโลก
หลิวซึ่งเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ PBOC ระหว่างเดือนมิ.ย. 2561 - เดือนมี.ค. 2567 กล่าวว่า กลยุทธ์การค้าต่างประเทศของจีนจำเป็นต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจีนจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายการสร้างความสมดุลพื้นฐานระหว่างการนำเข้าและการส่งออก พร้อมกับกล่าวว่า จีนมียอดเกินดุลการค้าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งหากจีนสามารถนำเข้าสินค้าและบริการในปริมาณที่เท่าเทียมกัน และผลักดันการชำระหนี้ด้วยสกุลเงินหยวน ก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของเงินหยวนในต่างประเทศได้อย่างมาก
การแสดงความเห็นของอดีตกรรมการ PBOC ผู้นี้ มีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรของจีน (GAC) รายงานเมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนพ.ย. พุ่งขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.8% แต่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.12 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หลิวกล่าวว่า การส่งเสริมให้เงินหยวนแข็งค่าอย่างเหมาะสมจะช่วยทำให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อของชาวจีนในต่างประเทศและส่งเสริมการบริโภค
นอกจากนี้ หลิวกล่าวว่า เพื่อเร่งกระบวนการที่ทำให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับสากลนั้น จีนควรขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินสกุลเงินหยวนในตลาดต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้รวมถึงพันธบัตร หุ้น กองทุน และตราสารอนุพันธ์ พร้อมกับกล่าวว่า ส่วนแบ่งการใช้สกุลเงินหยวนทั่วโลกควรได้รับการยกระดับให้สอดคล้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของจีนมากขึ้น
แม้มุมมองของหลิวไม่ได้สะท้อนถึงนโยบายของทางการจีน แต่ก็เน้นย้ำถึงแรงกดดันจากนานาประเทศที่ต้องการให้จีนรักษาสมดุลทางการค้า โดยคำเตือนล่าสุดมาจากประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ซึ่งกล่าวว่า สหภาพยุโรป (EU) อาจถูกบีบให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวต่อจีน รวมอาจรวมถึงมาตรการภาษีศุลกากร หากจีนไม่สามารถแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับประเทศ EU