ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวเพียง 4.8% ในปี 2568 ซึ่งชะลอลงจากปี 2567 ที่ขยายตัว 6% เนื่องจากปัจจัยลบจากภายในประเทศและต่างประเทศได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ธนาคารโลกเปิดเผยในรายงานภาวะเศรษฐกิจกัมพูชาประจำเดือนธ.ค. 2568 (Cambodia Economic Update for December 2025) ในวันนี้ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอลง ตลอดจนความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนกับประเทศไทย และการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากรนั้น เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจกัมพูชา นอกจากนี้ การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังได้บั่นทอนอุปสงค์และกิจกรรมการก่อสร้างภายในประเทศ ขณะที่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการท่องเที่ยว
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากกัมพูชาในอัตรา 19% เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
"กัมพูชากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทาย ท่ามกลางปัจจัยลบจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศรวมกัน" ทาเนีย เมเยอร์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำกัมพูชากล่าว และเสริมว่า "กันชนที่แข็งแกร่งและการปฏิรูปที่ตรงเป้าหมายจะช่วยให้กัมพูชาสามารถต้านทานแรงกดดันทางเศรษฐกิจเหล่านี้ได้"
เมเยอร์ยังกล่าวด้วยว่า การปกป้องครัวเรือนที่เปราะบาง ซึ่งรวมถึงผู้ที่เดินทางกลับประเทศ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะเดียวกัน การปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การสนับสนุนวิสาหกิจที่อยู่นอกระบบ และการอำนวยความสะดวกให้วิสาหกิจเหล่านี้เข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อการปลดล็อกการเติบโต อีกทั้งจะช่วยสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน และสร้างงานที่มีคุณภาพดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของกัมพูชายังคงแข็งแกร่ง โดยสามารถครอบคลุมการนำเข้าได้ประมาณ 7.5 เดือน ในขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 26% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
นอกจากนี้ รายงานระบุว่า กัมพูชายังคงสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 2.7% ในปีนี้ ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อยู่ในระดับสูงถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 28.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นภาวะไร้สมดุลจากภายนอก