นายสต็อกตันกล่าวว่า นโยบายการคลังที่ได้รับแรงผลักดันจากวิกฤต และวิกฤตชั่วคราว เช่น การปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนหรือชัตดาวน์ และความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ต่างเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมต่อเศรษฐกิจ
เขากล่าวว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนเมื่อเร็วๆนี้ เป็น “ตัวอย่างสำคัญ" ที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยที่ไม่เกิดผลดีแต่อย่างใด และ “ความเสี่ยงที่ซ้ำซาก" เกี่ยวกับเพดานหนี้และการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้น จะสร้างความเสียหายรุนแรง
นายสต็อกตันตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะนี้ สหรัฐมีปัญหาทางการคลังในระยะใกล้ “มากเกินไป" และปัญหาด้านงบประมาณในระยะยาว เช่น โครงการด้านสิทธิประโยชน์และโครงการหลักประกันสุขภาพ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด
นายสต็อกตัน ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า “ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ทั่วไป" เกี่ยวกับนโยบายการคลังของสหรัฐ ก่อให้เกิดภาระที่ไม่พึงประสงค์ต่อนโยบายการเงิน
เขากล่าวว่า มีการพึ่งพานโยบายการเงินที่หนุนเศรษฐกิจมากเกินไป ในการที่จะรับมือกับผลกระทบของข้อจำกัดจากนโยบายการคลัง
สำหรับในประเด็นเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งด้านการคลังรอบใหม่ในต้นปีหน้านั้น นายสต็อกตันกล่าวว่า ความขัดแย้งเกี่ยวกับเพดานหนี้ไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นซ้ำรอยในเร็วๆนี้ เนื่องจากการเผชิญหน้ากันครั้งล่าสุดของฝ่ายการเมืองแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีแต่อย่างใด