ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ของปีงบประมาณ 2557 นั้น รายรับเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สู่ระดับ 2.83 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการใช้จ่ายลดลง 14.8% แตะที่ 2.30 แสนล้านดอลลาร์
ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ยอดเกินดุลงบประมาณอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว ซึ่งตรงข้ามกับการขาดดุล 1.19 พันล้านในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยปีงบประมาณจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
กระทรวงการคลังเปิดเผยในเว็บไซต์ว่า ตัวเลขที่พลิกผันดังกล่าวมีสาเหตุบางส่วนมาจากรายรับที่เพิ่มขึ้น จากการชำระดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีให้กับกองทุนทรัสต์ ที่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐบาล
แม้ว่าการปรับตัวรายเดือนจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่งบประมาณรวมตลอดช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ ยังคงขาดดุลอยู่ 1.74 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 40.8% จากช่วงเดียวกันจากปีก่อน
ขณะที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและวินัยการคลังของรัฐบาล กระทรวงประเมินว่ายอดขาดดุลงบประมาณรายปีจะลดลงเหลือ 7.504 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2557 และ 6.258 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2558 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากที่ขาดดุล 6.80 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2556
ยอดขาดดุลงบประมาณรายปีได้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2552 เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา เข้าดำรงตำแหน่ง ขณะที่สถานะทางการคลังไม่ปรับตัวดีขึ้นจนกระทั่งปีที่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลและสภาคองเกรสร่วมกันดำเนินมาตรการที่จริงจังเพื่อฟื้นฟูวินัยทางการคลัง
ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขาดดุลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้ลดลงแตะ 4.1% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าครึ่งจากยอดขาดดุลในปี 2552 สำนักข่าวซินหัวรายงาน