สมาคมระบุว่า ปริมาณการบริโภคทองคำในจีนทะยานขึ้น 41.36% เทียบรายปี แตะที่ 1,176.4 ตันในปี 2556 ซึ่งคิดเป็นเกือบ 3 เท่าของปริมาณทองคำที่จีนผลิตได้ทั้งหมดในประเทศ
ตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มบ่งชี้ว่า จีนกำลังจะแซงหน้าอินเดียในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคทองคำจำนวนมากที่สุดในโลก ขณะที่ราคาทองคำที่ปรับตัวลงและความวิตกที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE นั้น ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาดในปีที่ผ่านมา
การบริโภคทองคำที่พุ่งขึ้นของจีนมีปัจจัยหลักมาจากความต้องการทองรูปพรรคและทองแท่งที่เพิ่มขึ้นในจีน โดยอุปสงค์ทองรูปพรรณดีดตัวขึ้น 42.52% เทียบรายปี แตะ 716.5 ตัน ขณะที่ความต้องการทองแท่งพุ่งขึ้น 56.57% สู่ระดับ 375.73 ตัน
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ราคาทองคำในตลาดโลกได้ร่วงลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากระดับ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระตุ้นให้ชาวจีนแห่ซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก
การแห่ซื้อทองคำจำนวนมากเกือบจะทำให้สต็อกทองคำของร้านทองในจีนหมดลง โดยมีกลุ่มหญิงวัยกลางคนที่ชอบซื้อทองเพื่อเก็งกำไร เป็นผู้ซื้อกลุ่มหลัก
อย่างไรก็ตาม ความสนใจทองคำในจีนนับว่าสวนทางกับตลาดทองคำโลก เนื่องจากราคาทองร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2556 ซึ่งเท่ากับราคาต้นทุนในการผลิตทองคำ
หนังสือพิมพ์ปักกิ่ง ไทม์สรายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายเสี่ยว เหลย นักวิเคราะห์ตลาดทองคำ ที่ระบุว่าการบริโภคทองคำของจีนอาจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มตลาดที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า ยอดขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นของพลเมืองจีน สำนักข่าวซินหัวรายงาน