ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ระบุว่า "Belt and Road" เป็นกลยุทธ์ที่ต่อเนื่องมาจากแนวคิดเรื่องการเป็นพันธมิตร ซึ่งจุดประกายขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2556
นายวาร์รอลล์กล่าวว่า "กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นส่วนเสริมของการหารือเรื่องกรอบการทำงานเชิงการทูตของจีนที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเดือนตุลาคม 2556 ซึ่งค่อนข้างมีความสำคัญอย่างมากเมื่อเทียบกับกลยุทธ์ที่เคยใช้ในปี 2492 เพราะชี้ให้เห็นว่า จีนตระหนักถึงความสำคัญของประเทศเพื่อนบ้าน และวีธีการที่จีนใช้สานสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้"
"แผนกลยุทธ์ 'Belt and Road' ไม่ได้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนเสริมของแผนยุทธศาสตร์จีนอีกด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของการทูตมากยิ่งขึ้น และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาของจีนมากเพียงใด"นายวาร์รอลล์ระบุว่า แผน Belt and Road มีวิธีการหลากหลายรูปแบบ และจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ เนื่องจากโครงการต่างๆที่จะดำเนินการนั้นอาจส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย
"ผู้กำหนดนโยบาย และนักวิจารณ์ของจีนตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้และนำไปสู่การปฏิบัติ หากมองในระดับโครงการ จีนยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายเกี่ยวกับวิธีการผลักดันโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ดังนั้นการทำโครงการดังกล่าวในระดับภูมิภาค ผมคิดว่าจีนจะต้องพบกับความท้าทายอย่างแน่นอน และจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด"นายวาร์รอลล์กล่าวว่า การถ่ายทอดวิสัยทัศน์ และการอธิบายรายละเอียดของแต่ละโครงการของจีนไปสู่ระดับภูมิภาค และประเทศต่างๆทั่วโลกถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับจีน
"สิ่งที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ได้กล่าวไว้ในการประชุม Boao Forum ถือเป็นก้าวที่มีความสำคัญอย่างมาก จีน และประเทศต่างๆในภูมิภาคกำลังถ่ายทอดสาส์นที่มีความชัดเจนในระดับภูมิภาค และระดับโลก ทำไมจีนถึงทำแบบนี้ จีนจะดำเนินการอย่างไร และจะทำอะไรเป็นลำดับต่อไป"