นายกาย ไรเดอร์ ผู้อำนวยการ ILO กล่าวว่า "การชะลอตัวลงอย่างหนักของเศรษฐกิจเกิดใหม่และราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดแรงงาน"
นอกเหนือจากการรายงานสถานการณ์ตลาดแรงงานโลกทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพแล้ว รายงาน World Employment Social Outlook -Trends 2016 ของ ILO ยังระบุว่า แม้ความเปราะบางของแนวโน้มตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น แต่ประชากรทั่วโลก 1.5 พันล้านคนยังคงเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ
"การมีงานทำนั้นไม่ได้หมายความว่าจะหลุดพ้นจากความยากจนได้เสมอไป" นายไรเดอร์กล่าวอธิบาย พร้อมเสริมว่า "การขาดตำแหน่งงานที่มีค่าแรงสูงทำให้ผู้คนกลายเป็นคนว่างงานอย่างไม่เป็นทางการ หรือเรียกได้ว่าเป็นงานที่มีผลิตภาพต่ำ ค่าจ้างต่ำ และไม่มีการคุ้มครองทางสังคม"
แม้ว่าสถานการณ์ด้านตลาดแรงงานได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ปี 2543 แต่รายงานดังกล่าวประมาณตัวเลขเอาไว้ว่า ผู้ที่มีงานทำราว 327 ล้านคนทั่วโลกยังคงยากจน ขณะที่อีก 967 ล้านคนจัดอยู่ในกลุ่มยากจนปานกลางหรือเกือบยากจน
ด้วยเหตุนี้เอง การปรับตัวลดลงของอัตราว่างงานในประเทศพัฒนาแล้ว (ลดลงจาก 7.1% ในปี 2557 มาอยู่ที่ 6.7% ในปี 2558) จึงแทบไม่ได้ช่วยบรรเทาสถานการณ์อันย่ำแย่ในเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้
รายงานดังกล่าวพบว่า ความคาดหวังด้านการจ้างงานในเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเริ่มลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบราซิลและจีน เช่นเดียวกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
นายเรย์มอนด์ ทอร์เรส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ ILO กล่าวว่า "ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอันเป็นผลจากความผันผวนของกระแสเงินทุน ความแปรปรวนใจตลาดการเงิน และการชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลกนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ จนกลายเป็นปัจจัยขัดขวางการลงทุนและการจ้างงาน"
"นอกจากนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องมุ่งเน้นการยกระดับนโยบายจ้างงานและจัดการกับความไม่เสมอภาค โดยมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า ตลาดแรงงานและนโยบายทางสังคมที่มีการวางระบบเป็นอย่างดีนั้น เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและจัดการกับวิกฤติแรงงาน" นายทอร์เรสกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน