นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ โดยกระแสคาดการณ์ในส่วนของ FOMC นั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่จะจับตาแถลงการณ์การประชุมเพื่อพิจารณาแนวโน้มของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุดที่นักลงทุนจับตาเพื่อคาดการณ์แนวโน้มการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค. ซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยดีดตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่ทรงตัวในเดือนก.ค. โดยมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ที่พุ่งขึ้น สวนทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง
ดัชนี CPI ดังกล่าวบ่งชี้ถึงเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ แต่จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.เมื่อพิจารณาถึงยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ซบเซาของสหรัฐที่มีการเปิดเผยวานนี้
ส่วนการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นั้น นักวิเคราะห์คาดว่า BOJ จะผ่อนคลายมาตรการด้านการเงินเพิ่มเติม และคาดว่า BOJ อาจจะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรเป็น 100 ล้านล้านเยน จากระดับปัจจุบันที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ด้วยว่า BOJ อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบ 0.3% จากระดับปัจจุบันที่ติดลบ 0.1%
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น มีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม รายงานระบุว่า กรรมการอย่างน้อย 3 คนจากทั้งหมด 9 คนของ BOJ ต้องการให้คงขนาดของนโยบายการเงินเอาไว้เท่าเดิม เพราะเกรงว่าอาจจะส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ในขณะที่กรรมการอีกจำนวนหนึ่งสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะกังวลว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะมีพันธบัตรไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงควรปรับนโยบายให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ตั้งเป้าอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวและรับประกันว่าการซื้อพันธบัตรจะช่วยผลักดันอัตราดอกเบี้ยให้ไปสู่ระดับดังกล่าว