นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ได้ก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญในการนำอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังเธอได้รับไฟเขียวให้สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรปเพื่อเริ่มต้นกระบวนการ Brexit อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากที่สภาขุนนาง (House of Lords) ได้ลงมติรับรองร่างกฎหมาย Brexit เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณนับถอยหลังว่า ประวัติศาสตร์ความเป็นสมาชิกภาพ EU ของอังกฤษที่ดำเนินมายาวนาน 43 ปีนั้น กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว
ก่อนหน้าการลงมติครั้งประวัติศาสตร์ของสภาขุนนางนั้น สภาสามัญชนของอังกฤษ (House of Commons) ได้เปิดการอภิปรายร่างกฎหมาย Brexit ฉบับแปรญัตติในประเด็นสิทธิพลเมืองของ EU และอำนาจรัฐสภาในการอนุมัติกฎหมาย Brexit ขั้นสุดท้าย ซึ่งปรากฏว่า สภาสามัญชนได้ตัดเนื้อหาส่วนที่สภาขุนนางแปรญัตติออกไป โดยสมาชิกสภาได้โหวตคัดค้านญัตติการปกป้องสิทธิพลเมืองชาวยุโรป 3.2 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ ด้วยคะแนนเสียง 335 ต่อ 287 เสียง และลงมติไม่เห็นชอบในญัตติการมอบอำนาจเต็มที่ให้แก่รัฐสภา ด้วยคะแนนเสียง 331 ต่อ 286 เสียง จากนั้นสภาสามัญชนก็ได้ส่งร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวกลับไปให้สภาขุนนางพิจารณาอีกครั้ง
ในการพิจารณาร่างกฏหมายของสภาขุนนางครั้งนี้ สมาชิกสภาขุนนางได้ยอมโหวตคว่ำญัตติว่าด้วยสิทธิพลเมืองยุโรปด้วยคะแนนเสียง 274 ต่อ 135 เสียง ขณะที่ญัตติที่ 2 ก็ถูกโหวตตกไปเช่นกันด้วยคะแนนเสียง 274 ต่อ 118 คะแนน ซึ่งเท่ากับว่า ร่างกฎหมายฉบับ Brexit ได้ผ่านการรับรองในกระบวนการทางรัฐสภาอย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้คาดการณ์ว่า ร่างกฎหมาย Brexit จะได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 อย่างเป็นทางการ และจะประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายในวันนี้ พร้อมเปิดทางให้นายกฯเมย์ สามารถแจ้งให้ EU ทราบถึงเจตนารมณ์ในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปได้อย่างเร็วที่สุดภายในวันนี้เช่นกัน
ลอร์ดบริดเจสแห่งเฮดลีย์ กล่าวต่อบรรดาสมาชิกสภาขุนนางว่า การตัดสินใจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป "ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเรา"
อย่างไรก็ตาม ไดแอนน์ เฮย์เตอร์ สมาชิกสภาขุนนางจากพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านของอังกฤษ ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อการที่สภาสามัญชนได้โหวตแก้ไขร่างกฎหมายฉบับแปรญัตติ พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่า พรรคของเธอจะไม่ขัดขวางการตัดสินใจดังกล่าว แต่จะแสวงหาหนทางอื่นในการไปให้ถึงจุดหมาย และประกาศว่า "ถึงประชาชนชาว EU ที่ได้รับผลกระทบทุกคน พวกเราจะไม่ทอดทิ้งพวกคุณอย่างเด็ดขาด"
สำหรับในตอนนี้นั้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของทำเนียบนายกรัฐมนตรีบนถนนดาวนิ่ง เพื่อรอดูการประกาศกรอบเวลาของนายกฯเมย์ในการแจ้งให้สหภาพยุโรปทราบว่า วันเวลาแห่งการแยกตัวออกจาก EU ได้มาถึงแล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน