World Today: สรุปข่าวประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 4 มกราคม 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 4, 2018 09:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. 2560 เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม กรรมการเฟดมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับจังหวะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2561

"กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังเน้นย้ำถึงการสนับสนุนให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ" รายงานการประชุมระบุ

--เกาหลีเหนือเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารกับเกาหลีใต้ที่หมู่บ้านปันมุนจอมอีกครั้งเมื่อวานนี้ เพื่อเปิดให้มีการหารือในเรื่องของการส่งตัวแทนจากเกาหลีเหนือเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ หลังจากที่ได้มีการตัดขาดช่องทางการสื่อสารดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2559 ที่ผ่านมา

รายงานดังกล่าวได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลต่อคาบสมุทรเกาหลี ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ทวีตข้อความในเชิงเหน็บแนมนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เกี่ยวกับปุ่มกดนิวเคลียร์ โดยทรัมป์กล่าวว่า "ปุ่มกดนิวเคลียร์ของสหรัฐทั้งใหญ่กว่าและสมรรถนะสูงกว่า" ปุ่มกดนิวเคลียร์ที่นายคิมอ้างว่าวางอยู่บนโต๊ะทำงานของตนเอง โดยหยิบยกคำพูดของนายคิมในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์เนื่องในวันปีใหม่

--กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.257 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนต.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย.

--ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ดีดตัวสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 58.2 ในเดือนพ.ย.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีภาคการผลิตจะทรงตัวที่ระดับ 58.2 ในเดือนธ.ค.

--หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลอังกฤษกำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (TPP) ขณะที่อังกฤษกำลังพิจารณาอนาคตทางการค้า หลังจากที่แยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

ไฟแนนเชียล ไทม์สระบุว่า แนวโน้มการที่อังกฤษอาจเข้าเป็นสมาชิก TPP ได้ช่วยให้ TPP มีความแข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่สหรัฐประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ การที่อังกฤษเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP จะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกของอังกฤษ

--ชาวอิหร่านจำนวนหลายพันคนได้ออกมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาลในหลายเมืองวานนี้ หลังจากที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลได้จัดการชุมนุมเป็นเวลา 6 วันจนเกิดการปะทะกับตำรวจ และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลดังกล่าว ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นจากรัฐบาล ได้ชูธงชาติอิหร่าน และภาพของอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน พร้อมกับกล่าวหาว่าสหรัฐ อิสราเอล และอังกฤษ อยู่เบื้องหลังการยุยงให้เกิดความไม่สงบในประเทศ

--เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจจีนปี 2561 สู่ระดับการขยายตัว 6.7% จาก 6.5% เนื่องจากอุปสงค์โลกปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เป็นหนึ่งในธนาคารรายใหญ่อีกหลายรายของสหรัฐ ที่ออกมาแสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโก

--สหภายุโรป (EU) ได้เริ่มบังคับใชเกณฑ์ MiFID II (Markets in Financial Instruments Directive II) เมื่อวานนี้ โดย MiFID II เป็นเกณฑ์การกำกับดูแลเพื่อลดความเสี่ยงในระบบ เพิ่มความโปร่งใสของตลาด และยกระดับการปกป้องนักลงทุน

ขณะที่นายสตีเวน ไมจัวร์ ประธานกรรมการของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ยุโรป (ESMA) กล่าวว่า ตนยังไม่พบปัญหาจากการเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวในขณะนี้

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ประเทศต่างๆจะรายงานในวันนี้ โดยมาร์กิตจะรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.ของฝรั่งเศส เยอรมนี สหภาพยุโรป อังกฤษ และสหรัฐ ขณะที่เนชั่นไวด์จะเปิดเผยดัชนีราคาบ้านอังกฤษเดือนธ.ค.

ส่วนสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)

-- นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 190,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.1%

ส่วนตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ