นายเจค็อบ ลิว อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้ม "เติบโตอย่างมั่นคงในวงกว้าง" ในปีต่อไป แม้เผชิญกับความเสี่ยงทางการเมืองบางประการ โดยความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีบทบาทสำคัญต่อทั้งโลก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยในที่ประชุมเอเชียน ไฟแนนเชียล ฟอรั่ม ในฮ่องกงว่า เศรษฐกิจรายใหญ่ๆของโลกคาดว่าจะเติบโตอย่างมั่นคงในวงกว้าง โดยอัตราจ้างงานของสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ ยุโรปได้รับประโยชน์จากการเติบโตด้วยปัจจัยภายใน เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตดีเกินคาดการณ์ในระยะสั้น และจีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองอยู่บ้าง ซี่งรวมถึงประเด็นขัดแย้งด้านนิวเคลียร์ระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐ กระแสวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในจีน และประเด็นประชานิยมในบางประเทศ
นายลิว กล่าวต่อผู้ร่วมการประชุมว่า "เศรษฐกิจโลกน่าจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคง แต่เหล่าผู้กำหนดนโยบายควรหันมาจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่ตนควบคุมได้"
"นักลงทุนควรมองที่มูลค่าพื้นฐานเมื่อต้องตัดสินใจลงทุน เพราะตลาดจะมีการปรับฐานเมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมืองอีกหลายๆกรณี วัฏจักรธุรกิจก็ยังคงปรากฎให้เราเห็น"
อย่างไรก็ดี นายลิวได้แสดงความกังวลต่อมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐ ซึ่งเขามองว่าเป็นมาตรการที่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มคนรวย ที่เดิมทีก็ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอัน "ไม่เป็นธรรม" นี้อยู่แล้ว และจะส่งผลให้สหรัฐมีหนี้เพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า
"มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคได้เพียงเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวนั้นให้ผลลัพธ์น้อยมาก เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเข้ามาชดเชยผลลัพธ์จากการปรับลดภาษี"
อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ในระยะสั้นแล้ว มาตรการนี้สร้างความยุ่งยากให้กับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ ส่วนในระยะยาวนั้น หนี้สินของรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก" ส่งผลให้เกิดปัจจัยกดดันในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่จะมีทรัพยากรรองรับการลงทุนภาครัฐลดลง จนกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคต